จับตา KBANK-SCB เข้าซื้อ Home Credit เวียดนาม มูลค่า 2.5 หมื่นล้าน

KBANK-SCB

จับตา KBANK-SCB แข่งประมูลเข้าซื้อ Home Credit ในเวียดนามกับ KB Financial Group จากเกาหลีใต้ ขนาดมูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์ 2 แบงก์ใหญ่มีความพร้อมทั้งคู่ ขนาดธุรกรรมแค่ 1% ของสินทรัพย์-เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำตามกฎหมายพอสมควร

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด รายงานว่า ตามที่เมื่อช่วงเดือน ส.ค. 2566 เคยมีกระแสข่าวเกี่ยวกับ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) สนใจเข้าซื้อ Home Credit ในเวียดนาม ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย อาทิ สินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า, รถจักรยานยนต์

ล่าสุดทาง Bloomberg รายงานว่า มีกลุ่มที่สนใจเข้าประมูล ประกอบด้วย KBANK บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) และ KB Financial Group จากเกาหลีใต้ โดยคาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ของ Home Credit ในเวียดนาม อยู่ที่ราว 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท

สำหรับความเห็นฝ่ายวิจัย คงมุมมองกลางต่อธุรกรรมดังกล่าว เพราะประเด็นดังกล่าวยังต้องติดตามต่อไปว่าใครจะเป็นผู้ชนะในดีลนี้ โดยมองว่าทั้ง KBANK และ SCB มีความพร้อมทั้งคู่ โดยขนาดสินทรัพย์ของธุรกรรมตามข้างต้นคิดเป็นสัดส่วนราว 1% ของสินทรัพย์ทั้งคู่

ประกอบกับ ณ สิ้นงวดไตรมาส 32/2566 ทาง KBANK มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 19.6% (Tier-1 ที่ 17.7%) และ SCB ที่ 18.7% (Tier-1 ที่ 17.6%) สูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำตามกฎหมายที่ 12% (Tier-1 ที่ 9.5%) พอสมควร

สำหรับการขยายการเติบโตแบบ Inorganic Growth (การเติบโตจากภายนอก-การเติบโตทางลัด ผ่านกระบวนการควบรวมหรือการซื้อกิจการ) ไปยังประเทศเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตของ GDP สูงในอาเซียนราว 6% ต่อปี และอยู่ในกลุ่มไฮยีลด์ (High Risk High Return) น่าสนใจ เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมของลูกหนี้เวียดนาม มีความแตกต่างจากไทยหรือไม่ ประกอบกับ Valuation ในการซื้อขายธุรกรรมนี้เป็นอีกปัจจัยที่จะบ่งชี้ว่าราคาหุ้นของผู้ชนะการประมูลจะตอบสนองไปในทิศทางใด

ทั้งนี้ บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เคยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ (ช่วงเดือน พ.ย. 2565) เข้าซื้อกิจการของ Home Credit ในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย (ธุรกรรมแล้วเสร็จ หลังได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อช่วงเดือน มิ.ย. 2566 และเดือน ต.ค. 2566 ตามลำดับ)

มูลค่าธุรกรรมดังกล่าวตามสัดส่วนการถือหุ้น 75% อยู่ที่ 474 ล้านยูโร โดยสินทรัพย์รวมกันของที่ฟิลิปปินส์และอินโดฯ ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 800 ล้านยูโร และมีกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 16 ล้านยูโร และ 9 ล้านยูโร ตามลำดับ ประเมินเทียบเท่า PER ซื้อขายราว 25 เท่า ในมุมมองฝ่ายวิจัยระดับ PER ซื้อขายในครั้งนี้หากเกิดขึ้น มีโอกาสต่ำกว่า PER ช่วง BAY ทำธุรกรรม ตามระดับอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่สูงขึ้นกว่าช่วงดังกล่าว จึงคงเท่าตลาด

สำหรับกลุ่ม มองว่าในธุรกรรมนี้ KBANK มีการดำเนินธุรกิจในเวียดนาม (ทุนจดทะเบียน 9.6 พันล้านบาท) พร้อมฐานลูกค้า K PLUS Vietnam กว่า 470,000 ราย ถือว่ามีความพร้อม คงแนะนำ Outperform หุ้น KBANK ที่มูลค่าพื้นฐาน 150 บาท ราคาหุ้นซื้อขายบน PBV ที่ 0.6 เท่า PER ราว 7.5 เท่า

ในทางตรงข้ามให้คำแนะนำ Neutral ต่อ SCB ที่มูลค่าพื้นฐาน 111 บาท จาก PBV ที่ 0.7 เท่า และ PER ที่ 7.8 เท่า สูงกว่า KBANK และราคาหุ้นนับจากต้นปี (YTD) เคลื่อนไหวดีกว่า KBANK จึงประเมินว่าที่ราคานี้ KBANK น่าสนใจกว่า