คว้าโอกาสในวิกฤตจีน เฟ้นหาหุ้นน้ำดี พิชิตผลตอบแทน

บทความโดย "ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์" 
CEO Jitta Wealth

 

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ช่วงนี้ผมหันไปทางไหน ก็ได้ยินคนพูดกันแต่ตลาดหุ้นจีน เนื่องจากเริ่มกลับมาคึกคักอีกรอบ สถานการณ์หุ้นจีนทั้งในตลาดหุ้นฮ่องกงและตลาดหุ้นจีน เพิ่งพลิกฟื้นตัวเป็นบวก 3-4% เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนนี้เอง จนนักลงทุนสงสัยคาใจว่า จีนจะฟิ้นคืนชีพได้จริง ๆ หรือเป็นแค่ศพกระตุก

ทั้ง 2 ตลาดนี้ได้ปรับตัวลงมานานหลายปี ถ้าพูดถึงตลาดหุ้นจีนก็ปรับตัวลดลงเข้าปีที่ 5 แล้ว นับตั้งแต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟองสบู่แตกในปี 2564 และยิ่งตลาดหุ้นฮ่องกง ตอนนี้ถือว่าปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 15 ปี

ผมจะพามาหาคำตอบกันและจะคว้าโอกาสลงทุนในวิกฤตนี้ตรงไหนได้บ้างครับ

ช่วงนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นคึกคักมากที่จะได้มีโอกาสหาหุ้นจีนดี ๆ ในราคาที่ถูก แถมมีจำนวนมากในเวลาดี ๆ แบบนี้ประเดิมต้นปีมังกร ซึ่งผมไม่เถียงว่า หุ้นจีนมีทั้งดีและไม่ดีกระจายอยู่ในตลาดที่ใหญ่มาก ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะคว้าโอกาสการลงทุนในวิกฤตตอนนี้ สิ่งสำคัญที่เราจะต้องโฟกัสคือ ยิ่งเมื่อไหร่ที่เห็นของถูก จะยิ่งทำการบ้านอย่างหนักมาก ๆ ครับ

ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะหาข้อมูลหุ้นต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ราคาถูก จากฐานข้อมูล Jitta.com ครับ เพราะรวบรวมข้อมูลหุ้นไว้แน่นมากมีหุ้นต่าง ๆ ในตลาด 29 แห่งทั่วโลก และค้นหาข้อมูลได้รวดเร็วด้วยไม่ว่าจะเป็นงบการเงิน วิเคราะห์อนาคตธุรกิจ การเติบโตในอดีต ราคาหุ้น ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี กลยุทธ์การลงทุนจะมีอัลกอริทึมที่ช่วยคัดกรองหุ้นให้สอดคล้องตามหลักการลงทุนของสาย VI

จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าคุณจะสนใจลงทุนในประเทศจีนหรือไม่ใช่ประเทศจีน ผมเชื่อว่าคุณจะสามารถคว้าโอกาสในวิกฤตได้ทุก ๆ ตลาดหุ้น เพราะผมมีประสบการณ์ลที่เคยคว้าโอกาสจากหลาย ๆ วิกฤตที่ผ่านมา และถือลงทุนระยะยาวทำให้ได้ผลตอบแทนหลายเท่าตัวกลับมาครับ เป็นไปตามที่ปู่ ‘Warren Buffett’ เคยบอกเคล็ดลับไว้ว่า “จงโลภเมื่อคนอื่นกลัว จงกลัวเมื่อคนอื่นโลก”

ถ้าใครจำภาพตอนสหรัฐ เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงิน ที่ตกลงสุดๆ แต่ก็ยังมีภาคอื่น ๆ อย่าง ภาคการค้าปลีก อินเทอร์เน็ต ท่องเที่ยวที่ธุรกิจยังเติบโตได้ดี และปรากฏว่า เมื่อวิกฤตนั้นจบลง หุ้นเหล่านี้เติบโตขึ้นมาถึง 5-10 เท่าทีเดียว และนี่คือ ผลตอบแทนมหาศาลที่คุณจะได้รับจากการคว้าโอกาสในวิกฤตครับ

หุ้นจีน-หุ้นฮ่องกง กำลัง bottom up เมื่อเห็นวิกฤตอสังหาฯ กำลังเริ่มต้นสู่จุดสิ้นสุด

เรามาดูกันว่า หุ้นจีนจะเป็นอย่างไรบ้างในปี 2567 ถ้าดูปัจจุบัน สถานการณ์ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คล้าย ๆ กัน หมายความว่า เราพูดรวมตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงเพราะตัวหุ้น 2 ใน 3 ที่อยู่ในตลาดฮ่องกง จะทำธุรกิจอยู่ในประเทศจีนอยู่แล้ว จึงทำให้สองตลาดนี้ มีความเกี่ยวพันกัน คือ ถ้าหุ้นจีนขึ้น หุ้นฮ่องกงก็ขึ้นด้วย หรือถ้าปรับตัวลงก็จะลงพร้อม ๆ กัน เพราะฉะนั้น ในช่วงที่ผ่านมา หุ้นจีนตกหุ้นฮ่องกงก็ตกด้วย

ถ้านับย้อนดูตั้งแต่หุ้นจีนปรับตัวลงมามากตั้งแต่ปี 2563 แล้ว ช่วงนั้นรัฐบาลจีนเข้าไปกำกับควบคุมธุรกิจฟินเทค เกมและธุรกิจที่เกี่ยวกับออนไลน์ต่าง ๆ หลังจากที่ รัฐบาลเบรกการเข้าตลาดหุ้นของบริษัท Ant Group ของยักษ์เทค Alibaba ที่ ‘แจ็ค หม่า’ เป็นเจ้าของ และในปีต่อมาปี ช่วงที่รัฐบาลจีนออกกฎหมายจัดระเบียนธุรกิจเหล่านี้

ต่อมาบริษัทยักษ์อสังหาฯ ‘China Evergrande’ ของกลุ่มเหิงต้า มีปัญหาสภาพคล่องจนเกิดการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ก้อนใหญ่ นับเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตอสังหาฯ ของจีนmujระเบิดออกมาสร้างความวิตกกังวลทั่วโลก หลังจากนั้นหุ้นจีนปรับตัวลดลงต่อเนื่องเข้าปีที่ 5 แล้ว ตามมาด้วยตลาดหุ้นฮ่องกงเช่นกัน​ หลังศาลสั่ง Evergrande หักชำระบัญชีเพื่อจ่ายหนี้คงค้างเมื่อต้นปีนี้เอง

ในช่วงหลายปีก่อน นักลงทุนยังคงหวาดกลัววิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีน เนื่องจากเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจจีน มีสัดส่วนกว่า 20% ของขนาดเศรษฐกิจหรือ GDP ถือเป็นเสาหลักที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นมาได้สูงกว่า 7-8% ต่อปี แต่เชื่อไหมว่า หลังเกิดวิกฤตอสังหาฯ เศรษฐกิจจีนก็ยังสามารถประคองตัวให้เติบโตได้ถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ ปี 2564 เป็นปีล่าสุดที่ GDP จีนเติบโตสูง 8.1% หลังจากเกิดวิกฤตอสังหาฯ กระทบ GDP ของจีนในปี 2565 เติบโต 3% และปี 2566 กลับมาเติบโต 5.2% ซึ่งสะท้อนว่า จีนยังมีภาคอื่น ๆ ที่ยังไปต่อและยังเติบโดให้เห็นอยู่ ขณะที่หุ้นจีนปรับตัวลดลงสวนกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ส่วนตัวผมจึงมองว่า หุ้นจีนและหุ้นฮ่องกง กำลังเข้าสู่ bottom up ครับ ท่ามกลางความวิตกกังวลที่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมดในโลกลงทุนของจีน แต่สำหรับผม รู้สึกว่า ปัจจุบันจีนกำลังเข้าสู่จุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดครับ

ปกติสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไม่ค่อยชอบ คือ ความไม่แน่นอนอะไรที่มันค้างคา สะท้อนผ่านตลาดหุ้นจะกลัวหมด เพราะไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย อย่างเช่น มีข่าวความขัดแย้งของ 2 ประเทศเกิดขึ้น แต่ก็ไม่รบซักที ทำให้ตลาดคาดเดาทิศทางไม่ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มรบกัน ตลาดหุ้นจะรับรู้แล้วว่า เหตุการณ์นี้จะจบลงในระดับหนึ่งหรือสิ้นสุดได้แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหนช่วงไหนก็ตาม แต่คนจะเริ่มเลิกกลัวแล้ว อารมณ์คล้ายกับช่วงเกิดข่าวสงครามรัสเซียและยูเครน ปี 2565 ที่ทุกคนกลัวกันหมดหุ้นตกแรงมาก

แม้สงครามผ่านมาถึงปีนี้ก็ยังไม่จบสิ้น แต่ตอนนี้คนจะเฉย ๆ กับข่าวนี้แล้ว และตลาดหุ้นอย่างสหรัฐ ก็วิ่งไปต่อไม่รอแล้วทั้งๆที่ทุกวันนี้ทั้ง 2 ประเทศนี้ก็ยังรบกันอยู่ แม้แต่กรณีอิสราเอลและฮามัสก็เช่นกัน หรือวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ จนเกิดปัญหาธนาคารยักษ์ใหญ่ ‘Lehman Brothers’ ล้มจนถูกปิดกิจการหักชำระบัญชี ทางรัฐบาลออกมาตรการมาดูแลบริษัทบางส่วนและออกมาตรการผ่อนคลายปริมาณทางการเงิน (QE) นักลงทุนก็รับรู้แล้วว่า ทุกอย่างจะจบลงระดับนึงได้

เพราะฉะนั้น ภาคอื่น ๆ ที่ประกาศงบออกมาดีเติบโตระเบิดระเบ้อ เพราะรู้แล้วว่า ผลกระทบจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์หนัก ๆ ได้ผ่านไปแล้ว ผู้คนก็ยังกลับมาซื้อสินค้าและบริการของบริษัทเหล่านี้กันอยู่ ธุรกิจอื่น ๆ ก็เดินหน้าได้อยู่ เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ผลประกอบการก็กลับมาเติบโตสดใส และหุ้นก็เด้งกลับมาหลายเท่า

ดังนั้น ผมจึงมองว่า ตลาดหุ้นจีนและตลาดฮ่องกง ที่คนกลัวกันมากในปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์หนัก ๆ เริ่มคลี่คลายบ้างแล้วโดยเฉพาะวิกฤตอสังหาฯ นี่ก็คือ ‘จุดเริ่มต้นของสิ่งที่จะสิ้นสุดแล้ว’ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง เวลานี้ จีนกำลังอยู่ในช่วงปลายของวิกฤตอสังหาฯ แล้ว เพราะบริษัทใหญ่อันดับหนึ่ง ‘Evergrande’ ล้มไปแล้ว และตอนนี้รัฐบาลจีนก็เข้ามาจัดการปัญหาได้และน่าจะปรับสถานะดีมานด์และซัพพลายในตลาดอสังหาฯได้ นี่เป็นภาพที่ผมวิเคราะห์ว่าจีนกำลังฟื้นคืนชีพมากกว่า

เปิดเหตุผลหุ้นจีน-ฮ่องกง ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น

ในช่วงที่หลายสิ่งหลายอย่างดูยังมีความไม่แน่นอน นักลงทุนส่วนใหญ่ยังกล้าๆ กลัวๆ นี่แหละครับ คือ ช่วงกอบโกยของนักลงทุน VI ครับ

ถ้าดูปัจจัยที่สนับสนุนให้หุ้นจีนและหุ้นฮ่องกงน่าลงทุนในปีนี้ คือ

เรื่องแรก แม้ตลาดฮ่องกงจะปรับตัวลดลงในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ในมุมของเศรษฐกิจฮ่องกง ในปี 2566 GDP เติบโต 3.2% ส่วนหุ้นจีนปรับลดลงต่ำสุดในช่วง 5 ปี ขณะที่ GDP ปี 2566 เติบโต 5.2% สูงกว่าที่รัฐบาลและตลาดคาดการณ์ไว้ สะท้อนว่าภาคอสังหาฯ มีปัญหา แต่ยังมีภาคอื่น ๆ ที่ยังเติบโต นี่คือเนื้อแท้ในประเทศยังไปต่อได้ ผมจึงมองว่า จีนกำลังอยู่ในช่วงปลายของวิกฤตอสังหาฯ แล้ว

เรื่องที่สอง ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าตลาดหุ้นจีนค่อนข้างมาก เรียกว่าหุ้นฮ่องกงถูกจริง ๆ ล่าสุด P/E Ratio ของ HSI (Hang Seng Index) อยู่ที่ 8.46 เท่า เทียบกับ P/E Ratio ของตลาดหุ้นจีนที่ดัชนี SSE (Shianghai Stock Exchange Index) อยู่ที่ 12.83 เท่า (ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567)

เรื่องที่สาม ในระยะข้างหน้า Forward P/E ของ Hang Seng Index อยู่ที่ 8.04% ดัชนี SSE อยู่ที่ 12.88 เท่า และ ดัชนี SZSE อยู่ที่ 16.25 เท่า สะท้อนว่า จากที่ราคาหุ้นจีนและฮ่องกงปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ท่ามกลางคาดการณ์ผลประกอบการยังเติบโตได้ดี ทำให้ค่า P/E ล่วงหน้า ต่ำกว่าตอนนี้ และมีหุ้นหลาย ๆ ตัวที่มีกระแสเงินสดเทียบเท่ากับมาร์เกตแคปล่าสุด ที่หดตัวลงมาแล้วครับ

เรื่องที่สี่ รัฐบาลจีนยังคงทะยอยออกมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อมาแก้ปัญหาอสังหาฯ ที่มีปริมาณล้นตลาดและกระตุ้นดีมานด์การซื้ออสังหาฯ ในตลาด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องในปีนี้

และสุดท้าย เรื่องที่ห้า รัฐบาลจีนส่งกองทุนทีมชาติ ‘Central Huijin Investment Ltd’ เข้าซื้อ ETF ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนดัชนีตลาด และหุ้นของตลาดจีนมากขึ้น ซึ่งน่าจะเรียกความเชื่อมั่นทางจิตวิทยากลับมาได้

ทั้งนี้ มาตรการล่าสุด ธนาคารกลางจีน มีมติปรับลดดอกเบี้ย (LPR) ประเภท 5 ปี ลง 0.25% สู่ระดับ 3.95% ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 หลังจากก่อนนี้ มีการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% เพื่อเพิ่มเงินในระบบและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจีนผ่อนคลายการซื้ออสังหาริมทรัพย์ การอนุโลมให้บริษัทพัฒนาอสังหาฯ สามารถกู้ยืมโดยใช้สินทรัพย์ค้ำประกันเพื่อนำเงินจ่ายหนี้และหุ้นกู้ชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะเห็นตลาดปรับตัวขึ้น ๆ ลง ๆ ในระยะสั้นๆ แต่ตลาดมองว่า โอกาสที่ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงจะปรับลดลงแรงอีก และคาดว่าคงจะมีไม่มากแล้ว ทำให้ตอนนี้หุ้นจีนหลาย ๆ ตัวดูน่าสนใจไปหมด ผมนึกถตอนที่ปู่ Warren Buffett ไอดอลสาย VI อธิบายตอนที่เจอหุ้นถูก ๆ จำนวนมาก ๆ

หลังเกิดวิกฤตการณ์ใด ๆ ก็ตาม ว่า “เหมือนชายกลัดมัน ไปนั่งอยู่ในฮาเล็ม” คือ มีผู้หญิงมาให้เลือกเยอะมาก อารมณ์ประมาณนี้เลยครับ ผมจึงทำการบ้านอย่างหนักเพื่อหาหุ้นที่มีรายได้เติบโตดีหรือทำนิวไฮ ดูทั้งงบการเงินย้อนหลัง อ่านรายงานประจำปี เราจะยิ่งรู้สึกว่า หลายบริษัทมีธุรกิจที่ดีมากและมีอนาคตเติบโตในระยะยาว แต่ทำไมราคามันถูกได้จริง ๆ ช่วงวิกฤตเป็นช่วงที่ได้เลือกของถูกเยอะมาก ๆ ให้ได้ช็อปปิ้งเห็นหุ้นดี ๆ ครับ คุณมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนเมื่อหลุดพ้นช่วงวิกฤตไปแล้ว

 

ปัจจุบัน หุ้นฮ่องกงหลายตัวดี ๆ มีอนาคตเติบโตได้ยาว ๆ ที่น่าสนใจมากหากซื้อไว้ตอนนี้มีโอกาสได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 4-5% ซึ่งหุ้นชื่อดังในตลาดฮ่องกง เช่น AIA Group, Tencent เจ้าของแอป WeChat เกมและอีกหลาย ๆ ธุรกิจในจีน Xiaomi ผลิตเครื่องใช้ภายในบ้านเป็นระดับ Smart Home ทำยอดขายทั่วโลก ​BYD รถยนต์ไฟฟ้าที่ตอนนี้ทำยอดขายแซงหน้า Tesla แล้ว แม้แต่ Haidilao International Holding ที่โด่งดังจากการเข้า IPO หม้อไฟแสนล้าน ซึ่งมีสาขาในประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยด้วย

สำหรับหุ้นดังในตลาดจีนอันดับต้น ๆ ได้แก่ PingAn Insurance บริษัทประกันรายใหญ่ในจีน, Great Wall Moter หรือ GWM ที่ทำตลาดรถ EV รายใหญ่อีกแห่ง, Kweichow Moutai หรือเหมาไถ่ เหล้าจีนชื่อดังระดับพรีเมี่ยมที่มีอายุเก่าแก่เกือบ 2, 000 กว่าปี, Hangzhou Hikvision ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดรายใหญ่ในจีน ซึ่งมีสินค้าและบริการอื่น ๆ ด้วยเทคโนโลยี เหมือนช่วยรัฐบาลจีนตรวจจับความผิดปกติในประเทศ อีกตัวสุดท้าย Midea Group เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับหนึ่งในจีน

หุ้นแต่ละตัว ทรงดี ๆ ทั้งนั้น มีให้เลือกเยอะจริ งๆ ที่สำคัญแม้ว่าอสังหาฯ จีนมีปัญหา แต่ภาคธุรกิจอื่น ๆ ยังเติบโตได้ดีและทำกำไรได้ดี เพราะฉะนั้น จึงมองกันว่าราคาหุ้นดี ๆ เหล่านี้ไม่น่าปรับลดลงได้มากแล้ว

ส่องโอกาสลงทุนในหุ้นที่ยอดเยี่ยมในประเทศที่ยอดแย่

มีคนถามผมว่า ทำไมการลงทุนแบบ VI หลังวิกฤตถึงได้ผลตอบแทนที่ดีมาก เนื่องจากราคาหุ้นถูกผลักดันด้วยปัจจัย 2 อย่าง คือ 1 ความจริง ซึ่งจะสะท้อนผ่านภาพรวมผลประกอบการ การเติบโตของกำไร EPS Growth และ 2 ความคาดหวัง (Price to Earnings) ที่คาดการณ์ที่จะเห็นราคากลับขึ้นมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นมากกว่าปัจจุบันที่มูลค่าต่ำกว่าที่เป็นจริง และผลตอบแทนที่ได้เป็นเพิ่มขึ้นหลายเท่าด้วย

ผมขอยกตัวอย่างใกล้ ๆ ตัว ว่า การลงทุนหลังวิกฤตสร้างผลตอบแทนชนะตลาดประมาณ 2 เท่า เช่น ผลตอบแทนของ Jitta Ranking หุ้นสหรัฐ เทียบกับดัชนีหลักในปี 2566 หลังผ่านวิกฤตเงินเฟ้อ พบว่า Jitta Ranking หุ้นสหรัฐ +44.26% เทียบกับ S&P500 TRI Return +26.29% หรือตลาดหุ้นไทย ในปี 2564 หลังผ่านวิกฤตโควิด-19 โดย Jitta Ranking หุ้นไทย +38.33% เทียบกับ SET TRI Return +17.67% พิสูจน์อัลกอริทึมที่ทำงานได้ดี ยิ่งลงทุนช่วงวิกฤต AI ยิ่งเก็บหุ้นดีราคาถูกได้มาก และฟื้นตัวแรงเมื่อตลาดขาขึ้น

ล่าสุดที่เราออก Jitta Raking หุ้นฮ่องกง นั้นผมและทีมงานได้ชทำ Back test ย้อนหลัง 10 ปี ก็พบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 19.68% ต่อปี

เช่นเดียวกับตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 15% หลังวิกฤติ โดยคาดหวังผลตอบแทนสูงถึง 100% ใน 5 ปีข้างหน้าหรืออาจเร็วกว่านั้น หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว

แต่ถ้าใครไม่อยากลงทุนหุ้นจีนรายตัว ก็สามารถเลือกลงทุนแบบทำผลตอบแทนจากภาพรวมตลาดหุ้นหรือธีมเมกะเทรนด์เด่น ๆ ของจีน เนื่องจากปัจจุบัน จีนกำลังเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจชูเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นำประเทศ ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับล่าสุด

ผมมองว่า Health Care จีนจะมาแรงมาก ๆ เพราะปัจจุบันรัฐบาลสนับสนุนให้ผลิตยารักษาโรคเองแทนการนำเข้า ทันตกรรมประดิษฐ์ เป็นอีกหนึ่งความล้ำหน้าในการรักษาฟัน ธีมพลังงานสะอาด ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้า เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในจีน อย่างที่รู้กัน ปัจจุบันยอดขายรถ BYD สามารถแซงรถ Tesla แล้ว และแน่นอน ธีมหุ้นเทคโนโลยีจีน ก็ยังเติบโตมีอนาคต

หากใครที่ไม่อยากลงทุนหุ้นรายตัว ก็สามารถลงทุนเป็นธีมได้ เพราะมี Thematic ราคาถูก ๆ มีอนาคตเติบโตน่าสนใจลงทุน อาทิ Thematic ตลาดหุ้นฮ่องกง ลงทุนผ่าน iShares MSCI Hong Kong ETF ส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นหลักของฮ่องกง หุ้นที่ลงทุนสูงสุดอันดับต้น ๆ ได้แก่ AIA Group, Hong Kong Exchanges and Cleaning, Techtronic Industries Company เป็นต้น โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ติดลบ -17.16% (ณ 19 กุมภาพันธ์ 2567)

ตลาดหุ้นจีน ลงทุนผ่านกองทุน iShares MSCI China ETF ถ้าดูไส้ในตัวหุ้นที่ลงทุนเป็นหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นหลักของจีน นำโดย Tencent Holding,  Alibaba Group Holding, PDD Holding, Chinna Construction Bank Corporation, Meituan เป็นต้น โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ติดลบ -15.87%

Thematic เทคโนโลยีจีน ลงทุนผ่านกองทุน Invesco China Technology ETF มีนโยบายลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีสัญขาติจีนชั้นนำในกลุ่ม Information Technology ทั่วโลก ทั้งหุ้น A-share H-share และ ADR ตัวหุ้นที่ลงทุนติดอันดับต้น ๆ ในพอร์ตกองทุนนี้ได้แก่ Technology Holding,  PDD Holding, Meituan,  Baidu เป็นต้น โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ติดลบ -33.17%

เทรนด์พลังงานสะอาดของจีนก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าดูผ่านกองทุน KraneShares MSCI China Clean Technology Index ETF ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทในประเทศจีน ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือให้บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานทางเลือก การบริหารจัดการน้ำยั่งยืน สิ่งปลูกสร้างประหยัดพลังงาน ผ่านกองทุน KraneShares MSCI China Clean Technology Index ETF ตัวหุ้นที่ลงทุนติดอันดับต้นๆ ได้แก่ Li Auto, NIO, BYD Company, XPeng เป็นต้น โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ติดลบ -33.%

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณคงเห็นตรงกันว่า การคว้าโอกาสในวิกฤต จะช่วยให้คุณพิชิตหุ้นจีน ทำผลตอบแทนในระยะยาวได้แน่นอน และจะไปได้สุดยิ่งขึ้น ถ้าใช้สูตรง่าย ๆ นั่นก็ การ DCA หรือถัวเฉลี่ย ซึ่งการลงทุนอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนหรือกำหนดช่วงเวลาเองโดยจะต้องลงทุนเป็นประจำ และกระจายการลงทุน ก็จะยิ่งทำให้คุณมีโอกาสทำผลตอบแทนการลงทุนได้เพิ่มขึ้น

ที่สำคัญ คุณจะเห็นเงินลงทุนของคุณจะทบต้นเพิ่มขึ้นเยอะมากจนคาดไม่ถึง ผมเคยคำนวณเริ่มต้นเงินลงทุน 10, 000 บาท ทำ DCA ทุกเดือน เป็นเวลาถึง 10 ปี สุดท้ายคุณจะได้เงินลงทุนทบต้น เพิ่มขึ้นมา 14-15 ล้านบาท ด้วยระยะเวลาการลงทุนระยะยาวของคุณครับ

ผมขอย้ำว่า แนะนำลงทุนแบบ DCA จะปลอดภัยและดีกว่าการที่คุณจะไปรอจับจังหวะตลาดลงต่ำ ๆ แล้วลงทุนนะครับ เพราะนั่นจะทำให้คุณเครียดโดยใช่เหตุ ความเป็นจริงของโลกแห่งการลงทุน ไม่มีใครที่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่า จุดไหนจะต่ำสุดหรือสูงสุดครับ

สุดท้าย ถ้าคุณจะลงทุนหุ้นจีนและหุ้นฮ่องกงในช่วงนี้ ติดพอร์ตไว้ก็ยังไม่สายครับ เพราะศักยภาพการเติบโตของประเทศจีนยังไปต่อยาว ๆ คุณสามารถรอเก็บเกี่ยวผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างชื่นใจครับ