ส่อง “7 หุ้นนางฟ้า” เขย่าโลกคาดกำไรปีนี้เฉียด 4 แสนล้านเหรียญ

หุ้นนางฟ้า

ช่วงที่ผ่านมามีการพูดถึงกันมาก ถึงหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือบิ๊กเทค ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยว่ากันว่าเป็นหุ้นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก บ้างก็ว่าหุ้นเหล่านี้กำลังครองโลก และนักลงทุนจำนวนไม่น้อย เรียกหุ้นเหล่านี้ว่า “หุ้นนางฟ้า” ที่ต้องมีไว้ในพอร์ต

ซึ่งมีด้วยกัน 7 หุ้น ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet (Google), Amazon, META (Facebook), Tesla และ Nvidia ทั้งนี้ คงต้องมาดูกันว่า ผลงานปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และแนวโน้มปีนี้จะยังสดใสหรือไม่

ปี’66 โตเด่นทุกบริษัท

นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลประกอบการในปี 2566 ของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในกลุ่ม Magnificent Seven หรือ 7 หุ้นนางฟ้า มีกำไรสุทธิรวมกันเติบโต 19.3%

เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มีสัญญาณการฟื้นตัว และมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นในทุกบริษัท จากปี 2565 ที่กำไรปรับตัวลดลงไปประมาณ 10-20%

โดยในช่วงไตรมาส 3/2566 หุ้นกลุ่มนี้มีกำไรเติบโต 54% และไตรมาส 4/2566 เติบโต 59% YOY ขณะที่ทั้งปี 2566 หุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด คือ Amazon จากการลดต้นทุนและฐานต่ำ รองลงมาคือ Nvidia ที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากกระแส AI เป็นสำคัญ ขณะที่ Microsoft, Google เติบโตดีขึ้น จากกระแสของธุรกิจ Cloud

ในส่วนของ META มีรายได้ค่าโฆษณา (Advertising Revenue) ที่เพิ่มขึ้น เพราะการลงทุน AI เข้ามาช่วยทำ Short Video และยิงโฆษณา หนุนส่วนแบ่งทางการตลาดของรายได้ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับโซเชียลมีเดียอื่น อย่าง Snapchat, Pinterest ขณะที่ Tesla, Apple อาจจะมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ต่ำกว่ากลุ่ม

ด้าน Apple งวดไตรมาส 4/2566 มีกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% ขณะที่การแข่งขันในเมืองจีนที่สูงขึ้นจากทั้งหัวเว่ย (HUAWEI) และซัมซุง (Samsung) ที่ออกมือถือรุ่นใหม่อย่าง Samsung Galaxy S24

“Apple สูญเสียตลาดจีนไป กดดันให้อัตราการเติบโตฟื้นตัวค่อนข้างน้อย ขณะที่ Tesla ได้รับแรงกดดันจากอัตราการทำกำไรที่ชะลอตัวลง หรือมีมาร์จิ้นที่ลดลง เพราะได้รับแรงกดดันจากการลดราคาขายรถยนต์ ที่ปรับตัวลดลงไป 40% ในปี 2566”

ปี’67 คาดกำไรโตพุ่งยกแผง

สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิในปี 2567 ของ 7 หุ้นนางฟ้า นายสิทธิชัยกล่าวว่า คาดจะอยู่ที่ 397,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 27% YOY แยกออกเป็น 1.Apple มีกำไรสุทธิ 101,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราการเติบโต 4.2% 2.Microsoft มีกำไรสุทธิ 87,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 20.6% 3.Google มีกำไรสุทธิ 84,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 14.2%

4.Nvidia มีกำไรสุทธิ 60,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 88% 5.META มีกำไรสุทธิ 54,122 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 38.4% 6.Amazon มีกำไรสุทธิ 54,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 2% และ 7.Tesla มีกำไรสุทธิ 10,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1.6%

“จะเห็นได้ว่าปีนี้ประเมินกำไรสุทธิ Nvidia จะเติบโตสูงสุด หลัก ๆ มาจากธุรกิจ Data Center ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 98% และธุรกิจอื่นโตในระดับ 10-30% อย่างไรก็ตาม ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงคือ 1.ตัวผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นลูกค้าสำคัญอย่าง Amazon, META, Google, Microsoft ที่คิดเป็น 40% ของรายได้ Data Center

ซึ่งคิดเป็น 80% ของรายได้ทั้งหมด กำลังพิจารณาทำชิปเป็นของตัวเอง ฉะนั้นอาจจะมีความต้องการซื้อชิปจาก Nvidia น้อยลง และ 2.ยอดขายในเมืองจีนชะลอตัวลงชัดเจน จากมาตรการการห้ามการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐ”

ถัดมา Tesla มองในเชิงความคาดหวังของยอดขายรถยนต์ในปีนี้ จะอยู่ที่ 2-2.1 ล้านคัน หรือเติบโตประมาณ 15% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ยังมีแนวโน้มของการชะลอตัวลงต่อเนื่อง ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา คือ 18.2% มาจากปัจจัยด้านการลดราคา เพื่อทำให้ยอดขายดีขึ้น หรือได้มาร์เก็ตแชร์จากผู้เล่นรายอื่น (ขายดี แต่กำไรไม่ดี)

ต่อมา Apple อัตราการเติบโตหลัก ๆ ในปีนี้จะมาจากธุรกิจบริการ ที่คาดว่าจะโตในระดับ 11% เช่น iTunes ในขณะที่สินค้าโปรดักต์ อาทิ iPhone, iPad, Mac อาจจะมีปริมาณการขายที่ลดลงประมาณ 2% และยอดขายในเมืองจีนน่าจะยังคงหดตัวอยู่ประมาณ 4-5% จากการแข่งขันสูง

ส่วน META มองอัตราการเติบโตในปีนี้ยังคงมาจากปริมาณคนใช้งาน (Daily Active User) ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3% และมีรายได้ค่าโฆษณาเติบโตอยู่ในระดับ 18%

กราฟฟิก หุ้นบิ๊กเทค

“ทั้งนี้ มาจากภาพของการทำ AI ที่เป็น Short Video ทำให้คนสามารถจะเข้าถึงเนื้อหาที่ตัวเองต้องการได้ ซึ่งจะสังเกตเห็นช่วงหลัง ๆ เวลาดูใน Facebook คนที่ไม่ใช่เพื่อนแต่ก็จะขึ้นมาบนฟีด นั่นคือ AI ที่ทำให้คนเข้าถึงคนอื่นได้มากขึ้น แต่เราอาจจะอยากได้หรือไม่ ไม่รู้ และ META ก็จะได้ค่าโฆษณา ซึ่งค่อนข้างตรงไปตรงมา เพราะ Facebook สัดส่วนกว่า 90% ของรายได้มาจาก Advertising Revenue”

ในส่วนของ Amazon ปีนี้อัตราการเติบโตอาจจะอยู่ในระดับลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่ก็ถือว่ามีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญคือ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซแม้ว่าจะมีการแข่งขันสูง แต่ยังคงเติบโตได้ในระดับ 2 เท่าของ GDP หรือประมาณ 7% ในส่วนรายได้ค่าโฆษณาคาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 21% รวมทั้งธุรกิจคลาวด์อย่าง Amazon Web Services จะมีสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น มีอัตราการเติบโตในระดับ 15%

ด้าน Google ประเมินอัตราการเติบโตดีขึ้นทั้งรายได้และการทำกำไร โดยรายได้ค่าโฆษณาที่มาจาก Google Search, Google YouTube Ads จะมีอัตราการเติบโตระดับ 10% YOY ธุรกิจคลาวด์จะเพิ่มขึ้น 25% และธุรกิจใหม่จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 13% เช่น Waymo Autonomous สัดส่วนยังคงค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรายได้รวมทั้งหมด แต่คงมีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่

สุดท้าย Microsoft อัตราการเติบโตค่อนข้างโดดเด่นมาจากหลายทิศทาง คาดว่าธุรกิจคลาวด์ (Microsoft Azure) จะเติบโตประมาณ 18% ธุรกิจ Product and Business Process เช่น Microsoft Office 365 จะมีอัตราการเติบโต 12% มาจาก Microsoft Copilot ที่อาจจะมีการเก็บเงินมากขึ้น รวมถึงธุรกิจ ChatGPT

กลยุทธ์ลงทุนหุ้น 7 นางฟ้า

สำหรับคำแนะนำการลงทุน Microsoft เป็นหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากภาพของ Text Transformation ที่ไปอยู่บนคลาวด์มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกับการเติบโตระยะยาว (Open AI, Copilot, Azure) ซึ่งเป็น 3 เรือธงหลัก จึงมองการเติบโตที่ดีต่อเนื่องทั้งจากเอไอและคลาวด์

ส่วน Google อาจจะเป็นบริษัทที่มูลค่าหุ้น (Valuation) ไม่สูงมาก ได้ประโยชน์จาก Google Cloud และ Gimini (เหมือน ChatGPT ของ Microsoft) ซึ่งปัจจุบันได้นำ Gimini Nano ไปใช้บนมือถือ Samsung Galaxy S24 ดังนั้น Google จะได้ประโยชน์จากทั้งค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายด้านไอที และลงทุน AI และคลาวด์ ซึ่งหุ้น 2 ตัวนี้ถือว่าได้ประโยชน์จาก Ai

สำหรับ META จากการประเมินการฟื้นตัวของ Digital Ads ยังคงคาดหวังได้สูง แต่เพียงแค่ไม่แน่ใจเรื่องการแข่งขันว่า Advertising Revenue ในรูปแบบนี้จะนำมาซึ่งการแข่งขันจาก TikTok หรือแพลตฟอร์มอื่นหรือไม่ เพราะว่าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ดังนั้น META เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่การลดลงแรงของราคาหุ้นอาจจะมีจำกัด เพราะกำไรมีอัตราการเติบโตที่ดี

ด้าน Tesla เป็นหุ้นที่อาจจะเรียกว่า “ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว” เพราะผลประกอบการได้รับแรงกดดันจากการลดราคา จึงส่งผลให้เทสลากำไรไปไม่ถึงฝันเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ แต่จะมีปัจจัยจากพวกสินค้าใหม่ อาทิ Cybertruck, Supercomputer, Storage แต่ธุรกิจพวกนี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่หุ้น Tesla จะเหมาะกับคนรับความเสี่ยงสูง เพราะราคาผันผวนสูง และไม่แน่ใจว่าด้านแข่งขันราคาจะจบเมื่อไร

ถัดมา Apple ไม่ค่อยแนะนำ เพราะมีอินโนเวชั่นน้อย แต่การที่ Apple เลิกธุรกิจ EV และไปลงทุนใน AI ถือเป็น Good Strategic Moves ซึ่งน่าจะส่งผลให้สามารถกลับมามีอัตราการเติบโตจาก AI ได้ ต้องลุ้น iPhone 16 ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่ง AI อาจทำให้ราคาหุ้นฟื้นตัวได้ มองราคาหุ้นไม่น่าลงจากระดับนี้แล้ว เพราะรับข่าวลบมามากแล้ว แต่ตอนนี้ฟื้นได้น้อย เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น จากแรงกดดันในเมืองจีนและการแข่งขันจากซัมซุง

“อะไรที่มีการแข่งขันสูงอย่าง META, Apple รวมถึง Tesla ที่มีการแข่งขันสูงจาก EV Car จึงไม่ค่อยแนะนำลงทุน”

ส่วน Amazon ธุรกิจเดิมดีขึ้น (e-Commerce) แต่รู้แล้วว่าไปต่อได้ยาก จึงพยายามมุ่งหาธุรกิจใหม่ (เอไอ, คลาวด์, ชิป) ซึ่งเป็นความท้าทาย แต่ที่ผ่านมามีผลงานที่ดี และด้วยประสบการณ์ของ Amazon น่าจะช่วยให้บริษัทเปลี่ยนผ่านไปยังช่วงการเติบโตใหม่ได้ไม่ยาก

“สุดท้าย Nvidia ธุรกิจชิปและไอเอ ซึ่งเป็นภาพของการประมวลผล คาดว่าน่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะตลาดจีนต้องการอีโคซิสเต็มก็ดีทั้งชิปและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ จึงน่าจะมีอัตราการเติบโตสูงสุด ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่คิดว่าจะเป็น Bubble เพราะการเติบโตของกำไรสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น”