BAM เปิดแผนเข้าเทรด SET อ้าแขนซื้อหนี้เสียไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นลบ.ต่อปี

บริษัทบริหารสินทรัพย์ฯ กางแผนเข้าเทรด SET เผยยื่นไฟลิ่งสำนักงานก.ล.ต.ไปเมื่อ 16 ส.ค.62 ชูจุดเด่นเป็นหุ้นปันผลสูง เชื่อกองทุน FIDF เตรียมลดสัดส่วนถือหุ้นลงเหลือ 45% ไม่กระทบความเชื่อมั่นมั่นบริษัทฯ อ้าแขนรับซื้อหนี้เสียมาบริหารปีละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท

เมื่อเดือน ส.ค.62 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยหุ้นที่เสนอขายประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น หุ้นสามัญเดิมจำนวนไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 230 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 1,765 ล้านหุ้น คิดเป็น 54.4% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (กรณีมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯ ทั้งจำนวน) โดยจะนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจโดยซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทฯ และ/หรือตั๋วเงินจ่ายที่ถึงกำหนด และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ หรือ BAM เปิดเผยว่า BAM เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ* มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี และมีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย โดยผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่อเนื่องปีละประมาณ 4,500 ล้านบาท และมีสินทรัพย์เติบโตเฉลี่ยที่ 7% ต่อปี ปัจจุบันมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศรวม 26 แห่ง ขณะที่ธุรกิจบริหารสินทรัพย์มีจุดเด่นตรงที่มีโอกาสในทุกภาวะเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทฯ สามารถเลือกซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้ในต้นทุนที่เหมาะสม ในช่วงภาวะเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ลูกหนี้ของบริษัทฯ มีศักยภาพในการชำระหนี้ และลูกค้าของบริษัทฯ มีกำลังซื้อทรัพย์สินรอการขาย เป็นการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายเข้าซื้อหนี้เสียในระบบเพื่อนำมาบริหารต่อไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี จากหนี้เสียทั้งระบบที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยเป็นราคาต่ำกว่าราคาประเมินในตลาด (discount) ที่ 3 หมื่นล้านบาท

โดยล่าสุด BAM ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (filing) ต่อสำนักงานก.ล.ต. ไปเมื่อวันที่ 16 ส.ค.62 ที่ผ่านมา และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทันในปี 2562 หรือไม่

“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ทำให้บริษัทฯ สามารถระดมทุนและเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น BAM จะสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นางทองอุไรกล่าว

ทั้งนี้ หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จะลดสัดส่วนในการถือหุ้น BAM มาอยู่ที่ 45% จากเดิมถือหุ้นทั้งจำนวน ส่งผลให้บริษัทฯ กลายเป็นเอกชนจากเดิมที่เป็นรัฐวิสาหกิจ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน สะท้อนจากที่นักลงทุนยังให้การตอบรับการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างดี จึงเชื่อว่านักลงทุนได้มีการสะท้อนปัจจัย (price in) ไปแล้ว

นางทองอุไร กล่าวอีกว่า ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ โดยในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบธนาคารมีอัตราการเติบโต(CAGR) เฉลี่ย 12.8% ประกอบกับราคาประเมินที่ดินล่าสุดในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยโดยภาพรวมทั้งประเทศที่ 27.7% (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมธนารักษ์) จากโอกาสทางธุรกิจเช่นนี้ BAM ได้กำหนด 3 ยุทธศาสตร์หลักที่จะสานต่อการเติบโตในอนาคต และเพิ่มความแข็งแกร่งให้องค์กร

– ยุทธศาสตร์ที่ 1: ขยายฐานทรัพย์สิน BAM ติดตามการขาย NPLs และ NPAs อย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายสินทรัพย์และคัดเลือกสินทรัพย์ ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนการได้มาซึ่งสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ มีสาขาทั่วประเทศ มีพนักงานที่มีประสบการณ์สูงและมีความเข้าใจในตลาดอย่างดี ทำให้บริษัทฯ สามารถประเมินศักยภาพและราคาทรัพย์ได้แม่นยำ

– ยุทธศาสตร์ที่ 2: ลดระยะเวลาการดำเนินงานเพื่อสร้างรายได้ให้เร็วขึ้น BAM ให้ความสำคัญกับการเจรจากับลูกหนี้ การปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการให้ลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้ตามกำลังที่สามารถ BAM ให้ความสำคัญกับการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่ายเท่าที่เป็นไปได้ พร้อมกันนี้ BAM ยังทำการตลาดเชิงรุกโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น เว็บไซต์ และช่องทางโซเชียลมีเดียขององค์กร ฯลฯ

– ยุทธศาสตร์ที่ 3: การพัฒนาคนเพื่อเพิ่มศักยภาพองค์กร BAM เชื่อว่าพนักงานที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญเป็นปัจจัยหลักของความสำเร็จทางธุรกิจ จึงได้จัดการฝึกอบรมพนักงานทั้งภายในและภายนอกองค์กรเพื่อพัฒนาความสามารถของพนักงาน รวมทั้งมีการเตรียมแผนการสืบทอดตำแหน่งที่ชัดเจน

นางทองอุไร กล่าวว่า BAM ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 BAM มีกำไรสุทธิรวมที่ 5,202.02 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.58% จากปี 2560

ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ จนถึงวันที่ 31 มี.ค.62 บริษัทฯ ได้ปิดบัญชีเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ (NPLs) ซึ่งคำนวณจากมูลค่าต้นทุนการซื้อไปแล้วเป็นจำนวน 90,562.65 ล้านบาท โดยสามารถเรียกเก็บเงินสดได้จำนวน 122,931.74 ล้านบาท

ในปี 2561 BAM มีเงินสดรับจากธุรกิจ NPLs และ NPAs รวมทั้งสิ้น 16,569.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ทำได้ 13,515.74 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.59% และมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 5,202.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ทำได้ 4,500.82 หรือเพิ่มขึ้น 15.58% ณ วันที่ 31 มี.ค.62 BAM มีเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้สุทธิ (NPLs) จำนวน 74,482.33 ล้านบาท ซึ่งหลักประกันของลูกหนี้ดังกล่าวมีมูลค่าอิงตามราคาประเมิน** 187,875.26 ล้านบาท และมีทรัพย์สินรอการขายสุทธิ (NPAs) 21,731.04 ล้านบาท โดยมีมูลค่าอิงตามราคาประเมิน** 50,287.17 ล้านบาท

BAM มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40.0 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย

ปัจจุบัน BAM มีทุนจดทะเบียน 16,225 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,245 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาท และมีทุนที่ออกและชำระแล้ว 13,675 ล้านบาท โดยมีกองทุน FIDF ถือหุ้น 99.99 % ทั้งนี้ หลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ FIDF มีนโยบายถือหุ้น BAM ในสัดส่วนต่ำกว่า 50% แต่ไม่ต่ำกว่า 45%

*ที่มา: รายงานภาวะอุตสาหกรรมซึ่งจัดทำโดยบริษัท อิปซอสส์ จำกัด

**หมายเหตุ: ราคาประเมินตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยและไม่รวมการผ่อนชำระ