หุ้นไทยผ่อนคลายสงครามการค้า ลุ้นงบ Q3 หนุนตลาด คาดภาพรวมกำไรแตะ 2.5 แสนล้าน

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทย (15 ต.ค.62) ว่า ตลาดเมื่อวันศุกร์มีการปรับขึ้นเพื่อตอบรับหรือเก็งล่วงหน้าไปแล้วเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รอบที่ 13 แล้วปรากฏว่าโมเมนตัมที่จะมีต่อเนื่อง หลังจากที่ผลการประชุมออกมาแล้วมีการทำข้อตกลงบางส่วน (partial deal) เกิดขึ้น พบว่าโมเมนตัมตลาดหุ้นไทยวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะยังไม่ได้ตกลงในเรื่องรายละเอียดอย่างชัดเจน จนทำให้สบายใจได้เพราะว่าตอนนี้เหมือนกำลังเร่งให้มีการทบทวนข้อตกลงกันเพื่อที่จะเอาไปพิจารณาในการเจรจาอีกรอบ นั่นหมายความว่าจะทำให้ตลาดกลัวว่าอาจจะมีพลิกล็อกหรือล้มโต๊ะอีกหรือไม่ ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดอาจจะไม่กล้าปรับตัวขึ้น ขณะที่มูลค่าการซื้อขายตั้งแต่เปิดตลาดวันนี้พึ่งได้แค่ 1.3 หมื่นล้านบาท จึงอาจจะค่อนข้างเบาบาง ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงประกาศงบบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งเริ่มมีการทำพีรีวิวหลายๆ บริษัทพบว่าไม่ค่อยคึกคึกเท่าไรนัก

อย่างไรก็ตาม มองภาพรวมมีแนวโน้มที่ตลาดอาจจะพบจุดที่ย่ำแย่ที่สุดไปแล้ว จากเรื่องของสงครามการค้า ดังนั้นตลาดนับจากนี้จะผ่อนคลายเรื่องนี้ระดับหนึ่ง และจะให้ความสนใจเกี่ยวกับผลประกอบการในไตรมาส 3 ของ บจ. โดยคาดว่ากำไรที่ออกมาไม่แย่ ภาพรวมกำไรไตรมาส 3 น่าจะอยู่ราวๆ 2.5 แสนล้านบาท และมีความคาดหวังในไตรมาส 4 น่าจะได้สัก 2.6-2.7 แสนล้านบาท

ซึ่ง 3 เดือนก่อนจะสิ้นปีมีโอกาสที่ประเทศไทยจะถูกยกระดับเครดิต และแรงซื้อ LTF ก็ยังมีรออยู่ รวมไปถึงกองทุน SEF ที่จะมาแทนกองทุนรวม LTF จะไปอิงกับหุ้น SET ยั่งยืน ซึ่งดัชนีหุ้นยั่งยืนของ SET จะมีการจัดสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนหุ้นแต่ละตัว ซึ่งปรากฏว่ากองทุนในประเทศหลายๆ กอง ไม่ได้ซื้อหุ้นในสัดส่วนนั้นในการบริหารกอง เรียกได้ว่ายังมีสัดส่วนไม่เทียบเท่าดัชนีหุ้นยั่งยืน

“สมมุติหุ้นยั่งยืนบอกว่าต้องซื้อ PTT สัก 10% ของทั้งหมด แต่กองทุนในประเทศส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อถึง 10% ดังนั้นถ้ากองทุนใหม่นี้เข้ามา จะต้องเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของหุ้นหลายๆ ตัว ฉะนั้นคงจะได้เห็นการปรับสถานะ การซื้อหุ้นใหญ่ๆ เข้ามาในช่วงก่อนสิ้นปี ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันตลาดได้ แล้วสงครามการค้าจะค่อยๆมีวิวัฒนาการดีขึ้น”

โดยรวมมองภาพตลาดสัปดาห์นี้ (15-18 ต.ค.62) จะเป็นไซด์เวย์ แต่คงจะไม่ได้ทำ new Low ไปลึกกว่า 1,605 จุด อาจจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,620-1,650 จุด หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจคือหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและสื่อสาร

Advertisment