คลังโชว์แก้หนี้นอก​ระบบ​แล้วกว่า​ 6​ แสนราย​ แปลงเป็น​หนี้ในระบบ​กว่า​ 2.7 หมื่น​ล้าน​บ.

นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ยังคงมีจำนวนผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์ (มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)) และประเภทพิโกพลัส (ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)

สำหรับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทแรก และสำหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 50,000 บาทเป็นต้นไป ให้เรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี (Effective Rate)) โดยผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท สามารถให้บริการสินเชื่อโดยรับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถเพื่อการเกษตรเป็นประกัน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน” หรือ “สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ”

ทั้งนี้ คำขออนุญาตที่ยื่นเข้ามาในเดือนพฤศจิกายน 2562 ส่วนใหญ่จะเป็นการยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ประเภทพิโกพลัส เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ประเภทพิโกพลัสสามารถให้บริการสินเชื่อแก่ประชาชนในวงเงินที่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 จนถึง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีนิติบุคคล ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัสรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,254 ราย ใน 76 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (110 ราย) กรุงเทพมหานคร (96 ราย) และขอนแก่น (65 ราย) ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว

มีนิติบุคคลที่คืนคำขออนุญาตสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์รวมจำนวนทั้งสิ้น 127 ราย ใน 51 จังหวัด จึงคงเหลือนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสุทธิเป็นจำนวน 1,127 ราย ใน 75 จังหวัด และมีผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท จำนวนทั้งสิ้น 716 ราย ใน 72 จังหวัด

ทั้งนี้ มีผู้ประกอบธุรกิจได้แจ้งเปิดดำเนินการแล้วจำนวน 619 ราย ใน 68 จังหวัด และได้ดำเนินการปล่อยสินเชื่อแล้วจำนวน 611 ราย ใน 68 จังหวัด โดยแบ่งออกเป็น
(1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ มีจำนวนผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 1,006 ราย ใน 75 จังหวัด โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์แล้วจำนวน 701 ราย ใน 72 จังหวัด และมีผู้เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 607 รายใน 68 จังหวัด

(2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส มีจำนวนผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 121 ราย ใน 46 จังหวัด ประกอบด้วยนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เดิมซึ่งได้รับใบอนุญาตและเปิดดำเนินการแล้วมายื่นขอเปลี่ยนใบอนุญาตเป็นสินเชื่อประเภทพิโกพลัสจำนวน 78 ราย ใน 38 จังหวัด และเป็นนิติบุคคลที่ยื่นคำขอใหม่จำนวน 43 ราย ใน 22 จังหวัด โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสแล้วจำนวน 15 ราย ใน 8 จังหวัด และมีผู้เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 12 ราย ใน 7 จังหวัด

(3) ยอดสินเชื่ออนุมัติสะสมและยอดสินเชื่อคงค้างสะสม

(3.1) ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสมจำนวน 160,596 บัญชี รวมเป็นจำนวนเงิน 4,245.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ยจำนวน 26,434.03 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกันจำนวน 79,921 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 2,310.25 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54.42 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจำนวน 80,675 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 1,934.95 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 45.58 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม

(3.2) ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 มียอดสินเชื่อคงค้างสะสมรวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 82,946 บัญชี
คิดเป็นจำนวนเงิน 2,257.05 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 – 3 เดือน สะสมรวมจำนวน 10,422 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 306.63 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.59 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 9,584 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 269.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.93 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม

สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคาร
เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบทดแทนหนี้นอกระบบรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีการอนุมัติสินเชื่อสะสมรวม 623,214 ราย เป็นจำนวนเงิน 27,362.22 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 577,505 ราย เป็นจำนวนเงิน 25,390.78 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติให้กับผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบจำนวน 45,709 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,971.44 ล้านบาท

การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
โดยผลการดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5,340 คน

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) สนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ซึ่งประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th
และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599 ,ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 ,ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567