โบรกฯหวั่นไวรัสโคโรน่า-งบปี’63 กดดันดัชนีหุ้นต่อเนื่อง

หุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 30 ม.ค.63 ว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นลบ โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะอ่อนตัวทดสอบ 1,515 – 1,520 จุด ก่อนจะสลับรีบาวด์ แม้ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ (FOMC) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75% รวมถึงรัฐสภายุโรปโหวตเห็นชอบข้อตกลงเบร็กซิตของอังกฤษแล้ว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ยังคงแพร่ระบาด ซึ่งล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 170 ราย และผู้ติดเชื้อ 7,736 ราย ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโรคซาร์สในจีนปี 2546 ส่งผลให้นักลงทุนยังคงมีความกังวลและอยู่ในภาวะปิดความเสี่ยง (Risk Off)

ทั้งนี้ สินทรัพย์ปลอดภัย ได้แก่ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวลง และราคาทองคำยังดีดตัวขึ้น รวมถึงกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่ขายสุทธิต่อเนื่อง 5 วันราว 8 พันล้านบาท จะส่งผลลบต่อดัชนี นอกจากนี้ การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องกรณีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ไว้วินิจฉัยนั้นจะเป็นแรงกดดัน (Overhang) ต่อภาวะเศรษฐกิจและดัชนีอีกด้วย

โดยวันนี้แนะนำติดตามการประกาศงบของ PTTEP โดยคาดว่าไตรมาส 4/62 จะทำกำไรได้ 1.24 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) และเพิ่มขึ้น +40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY)

ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) ในกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA และ DELTA รวมถึงกลุ่มส่งออกอาหาร ได้แก่ CPF, TFG และ TU อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า นอกจากนี้ แนะนำกลุ่มปลอดภัย (Defensive) และกลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 4/62 จะออกมาดีและดีต่อเนื่องในปีนี้ ได้แก่ GPSC, GULF, JMT, CPF, SAWAD, MTC, BTS, BEM, INTUCH, ADVANC, OSP และ CBG

ส่วนหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ TU (ราคาปิดล่าสุด 14.00 บาท แนะนำซื้อ/ราคาเป้าหมาย 18.10 บาท) โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยูโรจะส่งผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจของ TU เนื่องจากมีรายได้หลักมาจากการส่งออก หรือคิดเป็น 75% ของรายได้รวม โดยทุกๆ 1 บาทที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโรจะทำให้กำไรของ TU เพิ่มขึ้นประมาณ 600 -700 ล้านบาท

ถัดมาแนะนำ INTUCH (ราคาปิด 58.25 บาท แนะนำซื้อ/เป้า 81.00 บาท) โดยชี้ว่า INTUCH เหมาะสำหรับหลบภัยในภาวะตลาดผันผวน เนื่องจากจ่ายปันผลสม่ำเสมอและให้อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) สูง ประมาณ 4.5% ต่อปี สูงกว่าเมื่อเทียบกับ ADVANC ที่ 3.5% ขณะที่ราคาปัจจุบันยังไม่สะท้อนมูลค่าเงินลงทุน (NAV) ใน ADVANC และ THCOM โดยมีส่วนลด (Discount) จากมูลค่า NAV ถึง 28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 20-25%