โบรกฯ หวั่นนักลงทุนชะลอซื้อหุ้น เหตุรอประเมินกำไร บจ.ปี’62-โคโรน่าไวรัสระบาด

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 11 ม.ค.63 ว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลาง โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะแกว่งตัวในกรอบ 1,525 – 1,545 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุนและคาดว่านักลงทุนจะชะลอการซื้อขายเพื่อติดตามการประกาศงบไตรมาส 4/62 และงบปี 2562 ของบริษัทจดทะเบียน ประกอบกับติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นสูงกว่า 1 พันราย และจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 หมื่นราย ส่งผลให้มีความกังวลว่าจะกดดันต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก

นอกจากนี้ ประเด็นดังกล่าวยังกดดันให้ราคาน้ำมันดิบทรุดตัวลงมาต่ำกว่าระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม คาดว่าการย่อตัวลงจะไม่รุนแรงมากนักเนื่องจากสถานการณ์สงครมการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนผ่อนคลายลง หลังจีนเตรียมลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ มีผล 14 ก.พ.นี้ ซึ่งเป็นบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไป

ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) ในกลุ่มไฟแนนซ์ ได้แก่ MTC และ SAWAD ได้อานิสงส์ต้นทุนการเงินลดลงหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% กลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA และ DELTA รวมถึงกลุ่มส่งออกอาหาร ได้แก่ CPF และ TU ได้อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า และสุดท้ายกลุ่มพลังงาน ได้แก่ TOP, PTTGC และ SPRC ได้อานิสงส์ค่าการกลั่นพลิกเป็นบวก

ในส่วนของหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ CK (ราคาปิดล่าสุด 20.90 บาท แนะนำซื้อ/เป้า IAA Consensus 25.50 บาท) ได้บรรยากาศเชิงบวก (Sentiment) หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ไม่เป็นโมฆะซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา โดยฝ่ายวิจัยเลือก CK เป็นหุ้นเด่น (Top Pick) เนื่องจากผลประกอบการผันผวนน้อยสุดของกลุ่ม เพราะมีเงินลงทุนในบริษัทลูกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟฟ้า ทางด่วน (BEM) น้ำประปา (TTW) และโรงไฟฟ้า (CKP) จึงมีความมั่นคงของผลประกอบการมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่เน้นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเพียงอย่างเดียว

ถัดมาแนะนำ TU (ราคาปิด 15.20 บาท ซื้อ/เป้า 17.50 บาท) โดยชี้ว่าค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยูโรจะส่งผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจของ TU ที่มีรายได้หลักมาจากการส่งออกคิดเป็น 75% ของรายได้รวม โดยทุกๆ 1 บาทที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโรจะทำให้กำไรของ TU เพิ่มขึ้นประมาณ 600 -700 ล้านบาท