S&P ปรับลดเรตติ้งไทยจาก Positive เป็น Stable รับความไม่แน่นอน “โควิด”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2563 บริษัท เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้ง (S&P Global Ratings) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้รายงานการทบทวนและปรับลดเรตติ้งของประเทศไทยลงจาก “Positive” เป็น “Stable” สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งเกิดจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ S&P ยังคงระดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นสกุลเงินตราต่างประเทศ ที่ระดับ BBB+/A-2 และระดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นสกุลเงินบาท ที่ระดับ A-/A-2 รวมทั้งยังคงระดับการประเมินความเสี่ยงการแปลงสกุลเงินไว้ที่ระดับ A ตามเดิม

S&P ระบุว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และ การประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใม่ อาจทำให้การเปลี่ยนผ่านของประเทศสู่รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งต้องชะลอลงในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

“ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผนวกกับอำนาจครอบคลุมจากการประกาศภาวะฉุกเฉิน อาจทำให้ความคืบหน้าในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองและนโยบายทางเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมทั่วประเทศ ต้องหยุดชะงัก” เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ ระบุในรายงานดังกล่าว

สำหรับตัวเลขจีดีพีของไทยที่คาดว่าจะหดตัวลง 2.5% ในปี 2020 นั้น S&P วิเคราะห์ว่ามีผลจากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศเป็นปัจจัยหลัก เนื่องจากมีการประกาศห้ามเดินทางของหลายประเทศทั่วโลก โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะดีดตัวกลับมาในปี 2021 ด้วยการเติบโต 7.6% บนสมมติฐานว่าสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้สำเร็จ

Advertisment

ขณะที่มาตรการเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจะส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณแบบ ขาดดุลที่ระดับ 5.5% ของจีดีพี ซึ่งส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นสู่ที่ระดับ 31% ต่อจีดีพีในปี 2020

S&P ระบุด้วยว่าอาจปรับเรตติ้งขึ้น หากมีความแน่นอนเกี่ยวกับการพัฒนาของการทำงานของระบบสภาตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งในระยะยาวจะเพิ่มความสามารถให้กับระบบการเมืองไทยในการตอบสนองต่อความต้องการทางสังคม และช่วยแก้ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยที่มีมาอย่างยาวนาน