“โควิด” พ่นพิษ ทำคนไทย 44% รายได้ลดแถมไม่มีเงินออม 27% ต้องกู้ยืม

รูปประกอบข่าวการลงทุน-หุ้น-หุ้นกู้

รายงานข่าวจาก มาร์เก็ตบัซซ เปิดเผยว่าจากการสำรวจกลุ่มประชากร จำนวน 2,000 รายจากทั่วประเทศ ระหว่างเดือน เม.ย.2563 และช่วงหลังการล็อกดาวน์ในเดือน ส.ค.-ก.ย. 2563 ที่ผ่านมาพบว่าคนไทยได้รับผลกระทบเรื่องรายได้และค่าตอบแทนเกือบครึ่งของประชากรทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 44 ที่มีรายได้ และผลตอบแทนลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่เคยได้รับก่อนสถานการณ์วิกฤตโควิด-19

นอกจากนี้ ร้อยละ 20 ของคนไทยยังเปิดเผยว่าพวกเขามีการใช้จ่ายทุกอย่างเป็นไปตามปกติ แต่ไม่มีเงินเหลือเก็บไว้สำหรับเป็นเงินออม และอีกร้อยละ 21 มีความจำเป็นต้องนำเงินออมไว้มาใช้จ่าย แต่ยังไม่มีความต้องการกู้ยืมเงินแบบสินเชื่อส่วนบุคคล

แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่านั้น คือ ร้อยละ 27 ของคนไทย ไม่มีเงินเหลือเพียงพอในการใช้จ่าย และหวังพึ่งสถาบันการเงิน มีการกู้ยืมสินเชื่อส่วนบุคคล หรือขอยืมเงินจากคนในครอบครัว จากเพื่อน หรือแม้กระทั่งมีการนำสิ่งของออกไปจำนำเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย ซึ่งเป็นไปตามผลการสำรวจของมาร์เก็ตบัซซ ที่ติดตามผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อควรระวังสำหรับหลายคนที่อาจได้รับผลกระทบและทวีความกังวลมากขึ้นจากเหตุการณ์วิฤกตครั้งนี้

แกรนท์ บาร์โทลี่
แกรนท์ บาร์โทลี่

นายแกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาร์เก็ตบัซซ กล่าวว่า หลายคนต้องพบกับอุปสรรคความยากลำบากในการจัดการเรื่องการเงิน และมองหาความช่วยเหลือด้านการเงินจากธนาคารและรัฐบาล โดยเฉพาะในกรณีของครัวเรือนที่มีรายได้น้อย จะได้รับผลกระทบหนักสุด และอัตราการไม่ได้ทำงานสูงกว่าครัวเรือนที่มีรายได้สูงมาก

การสำรวจยังเผยให้เห็นว่าครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมีความต้องการในการขอสินเชื่อมากขึ้น

นอกจากนี้ สถานการณ์ในขณะนี้ยังเกี่ยวข้องกับวิกฤตการณ์ด้านสุขภาพ แต่ละส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและคนไทยทั้งประเทศด้ว แม้การกักตัวจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ส่งผลให้คนไทยอยู่ในสภาวะทางการเงินที่ค่อนข้างเลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของรายได้ของครอบครัวที่ลดลง แม้ว่าจะมีมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินจากรัฐบาล เพื่อช่วยกระตุ้นประชาชนให้มีการใช้จ่ายเงินมากขึ้น