ค่าเงินบาทแข็งค่าหลุดแนวรับสำคัญ หลังเฟดยืนยันจะเข้าซื้อพันธบัตร

ธนาคารแห่ง

ค่าเงินบาทแข็งค่าหลุดแนวรับสำคัญ หลังเฟดยืนยันจะเข้าซื้อพันธบัตร จนเศรษฐกิจจะกลับมาสู่ภาวะปกติ

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราระหว่างวันที่ 14-18 ธันวาคม 2563 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (14/12) ที่ระดับ 30.06/08 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดในวันพุธก่อนหน้า (9/12) ที่ระดับ 30.08/09 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังเคลื่อนไหวในกรอบ โดยแกว่งตัวในเชิงอ่อนค่าเล็กน้อย โดยนักลงทุนเลือกที่จะขายสกุลเงินปลอดภัยและเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความคืบหน้าของวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 โดยมีรายงานของเจ้าหน้าที่สำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ระบุว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย และเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการอนุมติเป็นกรณีฉุกเฉิน

รายงานดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณว่า FDA จะให้การอนุมัติอย่างเป็นทางการต่อวัคซีนต้านโควิด-19 ของโมเดอร์นาในเร็ววัน

นอกจากนี้นักลงทุนยังขายดอลลาร์เนื่องจากว่ามีความหวังว่าสภาคองเกรสสหรัฐจะสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในไม่ช้า โดยสมาชิกพรรครีพับลิกันและเดโมแครตได้เห็นพ้องที่จะแยกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9.08 แสนล้านดอลลาร์ออกเป็นร่างกฎหมาย 2 ฉบับเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส โดยฉบับแรกจะมีวงเงิน 7.48 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อเยียวยาผู้ที่ตกงานและธุรกิจขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขณะที่อีกฉบับหนึ่งจะมีวงเงิน 1.60 แสนล้านดอลลาร์เพื่อให้ความช่วยเหลือมลรัฐต่าง ๆ

Advertisment

นอกจากนี้ในคืนวันพุธ (16/12) ดอลลาร์สหรัฐได้อ่อนค่าลงอีกหนึ่งระดับ โดยถือเป็นระดับอ่อนค่าสุดระดับใหม่ในรอบ 2 ปีครึ่งหลัง หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% พร้อมระบุว่าเฟดจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2%

ทั้งนี้เฟดให้คำมั่นว่าจะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่มีการประกาศออกมาในช่วงสัปดาห์นี้ ยังแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะซบเซา โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือน พ.ย.ร่วงลง 1.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ส่วนทางด้านไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือน ธ.ค.ของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 56.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือน ธ.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 55.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงสัปดาห์นี้ ยังเคลื่อนไหวตามเงินสกุลหลักอื่น ๆ โดยในช่วงต้นสัปดาห์ค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบในกรอบระหว่าง 30.00-30.10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเพิ่มเติม แม้ว่านักลงทุนจะเฝ้าจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่การแพร่ระบาดที่ภาคเหนือของไทยนั้นเริ่มแพร่กระจายสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

Advertisment

อย่างไรก็ตามจำนวนการติดเชื้อยังบ่งชี้ว่า ยังไม่ได้มีการแพร่ระบาดที่ลุกลาม หรือต้องเฝ้าระวังจนถึงจะมีการปิดประเทศอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในคืนวันพุธ (16/12) หลังการประกาศถึงแนวทางการอัดฉีดเงินของเฟด ในวันพฤหัสบดี (17/12) ค่าเงินบาทได้แข็งค่าหลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 30.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐลงมาถือเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดนับแต่วันสิ้นปี 2562

ทั้งนี้นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ไม่มีนโยบายแทรกแซงค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศแต่อย่างใด และการที่ประเทศไทยถูกจัดอยู่ใน Monitoring List ของกระทรวงการคลังสหรัฐ ไม่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจที่มีการค้าการลงทุนกับสหรัฐ ซึ่งภาคธุรกิจไทยและสหรัฐ ยังคงดำเนินธุรกิจกันได้ตามปกติ

และการประเมินดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินนโยบายของ ธปท.เพื่อดูแลเสถียรภาพทเศรษฐกิจการเงินภายในประเทศ รวมถึงการดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่ของธนาคารกลางและความจำเป็นของสถานการณ์ ทั้งนี้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 29.76-30.10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดในวันศุกร์ (18/12) ที่ระดับ 29.77/79 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (14/12) ที่ระดับ 1.2119/20 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธก่อนหน้า (9/12) ที่ระดับ 1.2126/27 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

ในช่วงสัปดาห์นี้ ค่าเงินยูโรยังมีแนวโน้มแข็งค่าตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ค่าเงินยูโรยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์การเจรจาการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) ที่ล่าสุด นายมิเชล บาร์นิเยร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้แทนการเจรจาฝ่าย EU ว่าด้วยการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU (ฺฺฺBrexit) เปิดเผยว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษ และสหภาพยุโรป ยังคงมีความเป็นไปได้

พร้อมระบุว่า การเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินไปในขณะนี้ เพื่อประสานความคิดเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นการประมง และกฎระเบียบที่จะนำมาใช้ต่อบริษัทต่าง ๆ อย่างเป็นธรรม

นอกจากนี้นักลงทุนยังมีหวังว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในยุโรปจะสิ้นสุดลงหลังเจ้าหน้าที่คณะกรรมาธิการยุโรประบุว่า EU อาจอนุมัติวัคซีน โควิดของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคอย่างเร็วที่สุดในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ หลังจากสหรัฐและอังกฤษเริ่มฉีดวัคซีนดังกล่าวให้กับประชาชนแล้ว

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของประเทศในกลุ่มทั้งภาคผลิตและภาคบริการปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบ 1.2112-1.2273 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (18/12) ที่ระดับ 1.2256/58 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันจันทร์ (14/12) ที่ระดับ 104.03/04 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (9/12) ที่ระดับ 104.06/08 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสัปดาห์นี้ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ โดยปรับตัวแข็งค่าสุดหลังการประกาศของเฟดในคืนวันพุธ (16/12) ต่อเนื่องมายังวันพฤหัสบดี (17/12) ที่ระดับ 102.90 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในวันศุกร์ (18/12)

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษในการประชุม ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด โดย BOJ ยืนยันจะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาภาวะชะงักงานด้านการระดมทุน ซึ่งรวมถึงการจัดหาเงินกู้ให้กับธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ย 0% เพื่อให้ธนาคารเหล่านี้สามารถปล่อยกู้ให้กับบริษัทต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบ

รวมถึงยังได้ขยายโครงการเพื่อสนับสนุนการระดมเงินทุนให้กับภาคเอกชนออกไปอีก 6 เดือน จนถึงสิ้นเดือน ก.ย. ปีหน้า เนื่องจากโรคโควิด-19 ที่กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งนั้น ทำให้เศรษฐกิจเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 102.90-104.15 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (18/12) ที่ระดับ 103.44/46 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ