ค่าเงินทรงตัว ก่อนญี่ปุ่นเลือกตั้งและรายชื่อประธาน FED คนใหม่

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะเคลื่อนไหวของค่าเงินระหวางวันที่ 16-20 ตุลาคม 2560 ค่าเงินบาทตลาดในเช้าวันจันทร์ (16/10) ที่ 33.05/07 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี (12/10) ที่ระดับ 33.11/13 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าวันศุกร์ที่ผ่านมา (13/10) ตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่ได้รับการเปิดเผยออกมานั้นจะเป็นผลดีก็ตาม โดยกระทรวงแรงงานของสหรัฐ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการ โดยตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ก.ย.ปรับตัวขึ้น 1.6% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2558 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 110.1 ในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี โดยสูงกว่าระดับ 95.3 ในเดือนกันยายนและสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 95.1 ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกันยายนปรับตัวขึ้น 0.5% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของดัชนี CPI ดังกล่าวเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือน ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนกันยายน โดยได้แรงหนุนจากการผลิตรถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบ่งชี้่ถึงการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคสหรัฐ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปในเดือนตุลาคม จากการที่โรงกลั่นน้ำมันได้กลับมาทำการผลิต หลังจากที่เปิดโรงงานก่อนหน้านี้จากอิทธิพลของพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มา ทั้งนี้การผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคการผลิตเหมืองแร่ และสาธารณูปโภค โดยทั้ง 3 ภาคต่างดีดตัวขึ้นในเดือนกันยายน นอกจากนี้สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านดีดตัวขึ้น 4 จุด สู่ระดับ 68 ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยรายงานระบุว่า ผู้สร้างบ้านมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม และการเกิดพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วียร์และเออร์มา ในขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงให้ความสนใจต่อการเสนอชื่อผู้ที่จะมารับตำแหน่งประธานเฟด หลังวาระของประธานเยลเลนสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 โดยหนึ่งในตัวเก็งสำคัญคือนายเจอ โรม พาวเวล ซึ่งอยู่ในคณะกรรมการชุดปัจุบัน และมีแนวคิดสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่านายเควิน วอร์ช ตัวเก็งอีกคนซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทรัมป์ โดยนายพาวเวลสนับสนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเป็นการดำเนินนโยบายที่ต่อเนื่องจากเยลเลน นอกจากนี้นายพาวเวลยังมุ่งเน้นที่จะลดความซับซ้อนของกฎหมายระเบียบในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ภายในสัปดาห์นี้วุฒิสภาสหรัฐ เตรียมเดินหน้าพิจารณาแผนการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากพรรครีพับลิกันยังไม่สามารถผลักดันให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ได้ในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น พรรครีพับลิกันจึงจำเป็นที่จะต้องผลักดันแผนปฏิรูปภาษีครั้งนี้ให้ลุล่วงไปให้ได้ มิเช่นนั้น พรรคจะต้องเสี่ยงกับการสูญเสียความน่าเชื่อถือในกลุ่มผู้สนับสนุน ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐจะพิจารณาทางออกเรื่องงบประมาณ ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของการอนุมัติแผนการปฏิรูปภาษี แต่พรรครีพับลิกันอาจจะได้รับการสนับสนุนไม่มากนัก ในขณะที่วุฒิสมาชิกของพรรค 1 คน มีแผนจะเดินทางและไม่สามารถใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียงได้ ทั้งนี้ตลอดสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 33.04-33.18 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (20/10) ที่ระดับ 33.16/33.17 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวสกุลเงินยูโรในสัปดาห์นี้ ค่าเงินยูโรเปิดตลาดในวันจันทร์ (16/10) ที่ระดับ 1.1810/14 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี (12/10) ที่ระดับ 1.11838/42 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยเมื่อวันพฤหัสบดี (12/10) สำนักงานสถิติแห่งยุโรป ได้เปิดเผยตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม ประจำเดือน ส.ค. ออกมาเพิ่มขึ้น 1.4% ดีกว่าเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 0.3% และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% นอกจากนี้เมื่อวันศุกร์ (13/10) สำนักงานสถิติของเยอรมนีรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค ประจำเดือนกันยายน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.1% เท่ากับเดือนก่อนหน้า และเท่ากับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่วันจันทร์ (16/10) นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ นางเทเรซา เมย์ และนายฌอง-คล็อต ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเห็นตรงกันว่าควรจะมีการเจรจาต่อรองเรื่องที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยเร็ว แต่ในแถลงการณ์ครั้งนี้ไม่มีการระบุถึงรายละเอียดส่วนอื่น ๆ และความคืบหน้าของการเจรจาแต่อย่างใด จึงทำให้นักธุรกิจจากหลายแห่งกล่าวเตือนว่า หากไม่มีความชัดเจนว่าในเรื่องของความคืบหน้าในการเจรจา ธุรกิจเหล่านี้ก็จะเริ่มต้นโยกย้ายการลงทุนในช่วงต้นปี 2561 จนกว่านางเมย์จะให้รายละเอียดในเรื่องนี้ ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายต่างได้แต่เพียงกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าสร้างทางตันในการเจรจา อียูเคยกล่าวหานางเมย์ว่าไม่ยอมให้รายละเอียดในเรื่องที่ว่า อังกฤษเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากเพียงใดเพื่อแลกกับการถอนตัวออกจากอียู และทางสหภาพยุโรปจะไม่ยอมเจรจาเรื่องการทำข้อตกลงทางการค้ากับอังกฤษในอนาคต ทั้งนี้ตลอดสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.730-1.1858 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (20/10) ที่ระดับ 1.1803/1.1804 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนสัปดาห์นี้เปิดตลาดในวันจันทร์ (16/10) ที่ระดับ 112.01/02 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี (12.10) ที่ระดับ 112.36/39 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังจากนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่า BOJ จะเดินหน้านโยบายผ่อนคลายการเงินเชิงรุก โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ญี่ปุ่นจะจัดการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรในวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคมนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า พรรคเสรีประชาธิปไตย (LTP) ของนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ จะได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ซึ่งจะช่วยให้นายอาเบะเดินหน้าใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ “อาเบะโนมิกส์” ซึ่งรวมถึงการผลักดันนโยบายผ่อนคลายการเงินของ BOJ ต่อไป ขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นของบริษัทผู้ผลิตญี่ปุ่นดีดขึ้นในเดือนตุลาคม สู่ระดับ 31 สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2550 ซึ่งถือเป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่นกำลังทวีความเร็วขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเยน และจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากต่างประเทศ ซึ่งมุมมองเชิงบวกนี้จะส่งผลดีต่อนายกรัฐมนตรีอาเบะก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ที่กำลังจะมาถึง อย่างไรก็ดีกระทรวงการคลังสหรัฐ รายงานว่าประเทศญี่ปุ่นเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่ติดบัญชีรายชื่อประเทศที่รัฐบาลสหรัฐจับตามองเป็นพิเศษว่าอาจดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งทำให้ประเทศเหล่านี้มีความได้เปรียบด้านการค้าเหนือสหรัฐ อย่างไรก็ดี ทางกระทรวงสรุปว่า ไม่มีคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐรายใดที่ปั่นค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า โดยนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวว่า คณะรัฐบาลชุดนี้จะเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อไป เพื่อให้แน่ใจว่าการค้าดำเนินไปอย่างเสรี ยุติธรรม และสร้างผลต่างตอบแทนซึ่งกันและกันกับคู่ค้า ตลอดสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 111.65-113.48 ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (20/10) ที่ระดับ 113.42/113.45 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ