KTBST ประเมินตลาดหุ้นดัชนีอาจมีความผันผวนจากปัจจัยบวกไม่ชัดเจน จับตาการประชุม ECB

KTBST ประเมินตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (17-21 ก.ค. ) ดัชนีอาจมีความผันผวนจากปัจจัยบวกไม่ชัดเจน ตลาดจับตาการประชุม ECB (20 ก.ค.) และ FOMC (26 ก.ค.) เรื่องการลด QE แนะกลยุทธ์เน้นเก็งกำไรเป็นรายตัว คาดดัชนีสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,590-1,566 จุด SGP, GFPT, CPALL, SCC, WICE

ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST ประเมินทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (17-21 ก.ค. ) นักลงทุนรอดูการประชุม ECB (20 ก.ค.) และ FOMC (26 ก.ค.) เพื่อรอดูการส่งสัญญาณการลด QE ของธนาคารกลางสองแห่ง แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่ Fed จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือลด QE ขณะที่ปัจจัยในประเทศที่สำคัญ คือ การทยอยนำส่งงบการเงินและการคาดการณ์ผลประกอบการของหุ้นต่างๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยต่อหุ้นเป็นรายตัว และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมา 33.73 บาท/ดอลล่าร์ อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นได้ ในทางเทคนิค โดยดัชนีฯปิดในวันศุกร์ที่ 1,577 จุด ซึ่งอยู่กึ่งกลางของกรอบ 1,566 – 1,590 จุด เรามองดัชนีฯเมื่อสิ้นสัปดาห์มีโอกาสอ่อนตัวลงจากสัปดาห์ก่อน

ดังนั้นปัจจัยบวกต่อตลาดที่ไม่ชัดเจนทั้งฝั่งของต่างประเทศและในประเทศ เรามองว่าจะทำให้ไม่มีเม็ดเงินใหม่ๆเข้ามาในตลาดและการซื้อขายจะเป็นการสลับตัวเล่น (Switching) เน้นเก็งกำไรช่วงสั้น และขายมากขึ้นถ้าดัชนีฯวิ่งเข้าใกล้ระดับ 1,590 จุด ดังนั้นสัปดาห์นี้ แนะนำให้นักลงทุนเน้นเก็งกำไร ในหุ้นกลุ่มหลักบางกลุ่ม เช่น ธนาคาร โทรศัพท์ ค้าปลีก เป็นรายตัว และระมัดระวังการลงทุนในหุ้นที่มีรายรับเป็นเงินดอลล่าร์ ที่ถูกกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า คาดดัชนีฯ ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 1,590-1,566 จุด หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ได้แก่ SGP, GFPT , CPALL , SCC , WICE หุ้นแนะนำเชิงเทคนิคได้แก่ THCOM , KSL , BPP

ทั้งนี้ ปัจจัยที่น่าติดตามได้แก่ เรื่องการลด QE ของธนาคารต่างๆ มีกรอบเวลาที่แน่ชัดมากขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดมีการส่งสัญญาณไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้พร้อมทั้งระบุว่าการลดขนาดงบดุลจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ทางยุโรปเรามองว่าจะเริ่มการหยุด QE ในช่วงปีหน้าและคาดว่าปี 2019 จะเริ่มมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง แต่กระบวนการดังกล่าวจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ตลาดหุ้นมีการรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปค่อนข้างมากแล้ว

ส่วนปัจจัยภายในประเทศยังคงเป็นบวก กนง. ระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งได้รับผลบวกจากภาคการส่งออกและการใช้จ่ายของภาคเอกชนที่ฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ ธปท. ยังระบุว่า NPL ของ SMEs ที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่ประเด็นที่น่าเป็นห่วง และให้เงินเฟ้อในกรอบเป้าหมายที่ 1-4% ซึ่งคาดว่าภาพเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นนี้จะเป็นประเด็นบวกให้กับตลาดหุ้นไทยต่อ

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นมาสูงจากสต็อกน้ามันดิบสหรัฐฯอยู่ในระดับสูง เราคาดการปรับตัวขึ้นของราคาน้ามันดิบมีกรอบจากัด โดยยังคงคาดราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในกรอบ $43-50 เหรียญ จนกว่าจะถึงการประชุมระหว่างรัสเซียและ OPEC ในวันที่ 24 ก.ค.นี้