ธปท.-ก.ล.ต.คุมเงินดิจิทัล จ่อสกัด “เงินบาท 2 ตลาด”

แบงก์ชาติจ่อคุมเข้มสกุลเงินดิจิทัล หลังมีกระแส stablecoin กรณี “เหรียญ THT” ให้แลกเป็นเงินบาทได้ เร่งเปิดรับฟังความเห็นก่อนคลอดเกณฑ์ปีนี้ บอร์ด ก.ล.ต.เข้มผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภท ต้องคัดกรองให้บริการแก่ผู้ลงทุน

นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ครึ่งแรกของปีนี้ ธปท.จะเปิดรับความคิดเห็นเรื่องการพัฒนา digital currency หรือคริปโทเคอร์เรนซี ประเภทของ stablecoin ที่มีเงินบาทหนุนหลัง (baht-backed stablecoin) โดยแยกเป็น 2 ส่วน เพื่อแนวทางกำกับดูแลที่เหมาะสม

ส่วนแรกเป็นกลุ่มคริปโทเคอร์เรนซีที่มีเงินหนุนหลัง ประเภทที่มีสกุลเงินบาทหนุนหลัง (THB-backed) ที่ใช้เป็นสื่อกลางชำระเงิน จึงเข้าข่ายบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้ พ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 ทำให้การกำกับดูแลมีแนวทางคล้าย e-Money แต่ ธปท.อาจเพิ่มหลักเกณฑ์บางส่วนเข้าไป

ส่วนที่ 2 เป็นกลุ่ม stablecoin ประเภทที่มีสินทรัพย์อื่นหนุนหลัง กลุ่มนี้มีความซับซ้อน นอกจากใช้ซื้อสินค้า เพราะต่อยอดให้บริการอื่นได้ เนื่องจากการใช้เทคโนโลยี blockchain หรือ distributed ledger technology ดังนั้น เกณฑ์กำกับจะซับซ้อนกว่ากลุ่มแรก

“ปีนี้น่าจะออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลได้กรณี stablecoin เรามองว่ามีประโยชน์ แต่ต้องรักษาสมดุลของราคาด้วย ตอนนี้มีผู้สนใจทยอยมาคุยบ้างแล้วเพราะเป็นเรื่องใหม่ และต้องการทำให้ถูกต้อง”

กรณีที่มีข่าวเรื่องการออก stablecoin ชื่อ THT บน terra platform ที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งระบุให้ 1 หน่วยของมูลค่า THT เป็น 1 บาท แม้ปัจจุบัน THT จะยังไม่ได้ถูกใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน แต่ถ้า THT มีลักษณะถูกนำมาใช้ทดแทนเงินบาทในวงกว้าง จะทำให้เกิดระบบเงินบาท 2 ตลาด หากประชาชนนำไปใช้จะกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่ง ธปท.เป็นผู้ดูแลมูลค่าเงินบาทต้องไม่ให้ผันผวนไปมา และมีกลไกดูแลการใช้ จึงอยากเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง

นอกจากนี้ ช่วงต้นเดือน เม.ย. ธปท.จะศึกษาพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลภาคประชาชน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน และพัฒนานวัตกรรมการเงินใหม่ ๆ ในปี 2564-2565

“ธปท.จะศึกษาและพัฒนาระบบควบคู่กันไป โดยมีตัวอย่างของประเทศจีนที่ใช้ในภาคประชาชนแล้ว”

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต.เมื่อวันที่ 19 มี.ค. มีมติเห็นชอบให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภท ต้องคัดกรองสินทรัพย์ดิจิทัลที่ชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้ลงทุน โดยเห็นควรให้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีระบบงานในการคัดกรองสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ๆ ได้ผ่านพิจารณาถึงรูปแบบและกลไกการใช้งานที่ไม่มีลักษณะเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อป้องกันความเสียหายแก่ผู้ลงทุนที่มาใช้บริการจากผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้อีกทางหนึ่ง