นักลงทุน VI เปิดขุมทรัพย์ใหม่ ชี้ช่องบุกตลาดหุ้นเวียดนาม

วีระพงษ์ ธัม - ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร - กัลชุญา ศุขเทวา

เศรษฐกิจเวียดนามที่กำลังขยายตัวสูง ทำให้นักลงทุนไทย โดยเฉพาะกลุ่ม “นักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ VI” ที่ยึดหลักการลงทุนในแบบกระจายความเสี่ยง เริ่มให้ความสนใจชักชวนกันเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น เพราะมองว่า “เป็นขุมทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูง” ดีกว่าจะจมอยู่แต่ตลาดหุ้นไทยที่เริ่มปรับฐานสูงขึ้นแล้ว

โดย “กัลชุญา ศุขเทวา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ ฉายภาพว่า ตลาดหุ้นในเวียดนามในปัจจุบัน มี 3 ตลาด คือ ตลาดหลักทรัพย์ฮานอย หรือ Hanoi Stock Exchange (HNX) ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ หรือ Ho Chi Minh Stock Exchange (HOSE) และอัพคอม หรือ Unlisted Public Companies (UPCOM)

“อัพคอมเปรียบเสมือนตลาด mai ของไทย ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็กเข้าจดทะเบียน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับบริษัทก่อนเข้าตลาดหุ้นใหญ่” นางสาวกัลชุญากล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันภาพรวมทั้ง 3 ตลาดหลักทรัพย์ของเวียดนามมีหุ้นรวมกันอยู่กว่า 1,300 บริษัท โดยในอัพคอมมีอยู่ราว 600 บริษัท แถมยังมีหุ้นจดทะเบียนใหม่ (IPO) เกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งตลาดอัพคอมมีข้อดีคือเปิดเผยข้อมูลน้อยกว่าตลาดใหญ่ ทำให้เอกชนที่สนใจเข้าตลาดหุ้น ใช้เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเข้ามาปรับตัว ก่อนจะขยับสู่ตลาดหุ้นที่ใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ตลาดอัพคอมมีความเคลื่อนไหวของการลงทุนสูง หากเทียบกับอีก 2 ตลาด

“เวียดนามวันนี้โตไวจริง ๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ จีดีพีขยายตัวถึง 7.3% ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้คนสนใจมากขึ้น โดยส่วนตัวได้เริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมาประมาณ 2-3 ปี ส่วนใหญ่ลงทุนหุ้นที่อิงกับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งโดยเฉลี่ยหุ้นขึ้นทุกปี 20% แต่ก็มีบางตัวที่ขาดทุนไปบ้าง เพราะตอนนี้ต้องยอมรับว่า เวียดนามยังไม่มีใครเป็นผู้ชนะในตลาด ทำให้นักลงทุนต้องอ่านพื้นฐาน หาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อประเมินเองด้วย” นางสาวกัลชุญากล่าว

ขณะที่ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุน VI ที่มีชื่อเสียง เล่าว่า ตนเองได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เมื่อปี 2556 หลังเศรษฐกิจเวียดนามเริ่มฟื้นตัวจากฟองสบู่แตก เพราะต้องการกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นไทย และพบว่าการฝากเงินกับธนาคารยังได้ดอกเบี้ยต่ำ หากเทียบกับเงินปันผลของหุ้น โดยเริ่มต้นจากการหาข้อมูลพื้นฐานหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสอดคล้องตามเศรษฐกิจ มองหุ้นราคาไม่แพง แต่มีโอกาสสูง

นอกจากนี้ยังเลือกลงทุนด้วยการเปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ในไทย เพราะสะดวกกว่าการเปิดบัญชีด้วยตัวเองในเวียดนาม เนื่องจากไม่ต้องเสียภาษีเงินปันผล และลักษณะของการสั่งซื้อหุ้นก็คล้ายกับการสั่งซื้อหุ้นในไทย ซึ่งมีความคล่องตัวสูง ทั้งนี้ การลงทุนหุ้นเวียดนามของตนปัจจุบันมีสัดส่วน 10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดที่ตนมีอยู่ โดยตนเข้าไปถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนอยู่ 130 บริษัท ซึ่งได้เงินปันผลหุ้นบางตัวสูงถึง 40%

“นักลงทุนไทยที่จะเริ่มเข้ามาก็ต้องเสี่ยง ควรมองการลงทุนระยะยาว ดูการเติบโตของเศรษฐกิจและบริษัท เพราะ 90% ของนักลงทุนในเวียดนาม ปัจจุบันเป็นนักลงทุนรายย่อย เก็งกำไรกันเยอะ VI ยังน้อย ดังนั้นถ้าเรารู้พื้นฐานก็มีโอกาสได้แน่นอน แต่หากจะเล่นระยะสั้นเหมือนตลาดหุ้นไทย ก็เจ๊งได้ ไม่มีอะไรการันตี” ดร.นิเวศน์กล่าว

“ดร.นิเวศน์” มั่นใจว่าเวียดนามจะกลายเป็น “ดารายุคใหม่ในอาเซียน” อย่างแน่นอน

ปิดท้ายที่ “วีระพงษ์ ธัม” กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าบอกว่า ตอนนี้ตลาดเวียดนามอยู่ในช่วงที่เรียกว่ายังไม่เห็นผู้ชนะที่ชัดเจน แต่กลุ่มธุรกิจที่มาแรงและน่าจับตามองคือ กลุ่มคอนวีเนี่ยนสโตร์ ขณะที่นักลงทุนไทยเริ่มเข้าไปในตลาดหุ้นเวียดนามกันมากขึ้น โดยมีเดินทางไปกลับเวียดนามหลายครั้งในแต่ละเดือน และเห็นการเติบโตทุกครั้ง

“สมาคมใช้โอกาสนี้จัดทริปนำนักลงทุนไทยเดินทางไปดูตลาดเวียดนาม ในวันที่ 1-4 พ.ย.นี้ เพื่อไปดูธุรกิจ ดูโรงงาน และโอกาสการลงทุน พร้อมทั้งเชิญนักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนมากกว่า 10 ปี มาพูดในงานนี้ ร่วมแชร์ไอเดียการลงทุน” นายวีระพงษ์กล่าว

แบบนี้นักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสสร้างผลตอบแทน คงต้องรีบขยับตัวกันแล้ว