โควิดระบาดฉุดดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า ต่ำสุดรอบ 6 เดือน

“สภาธุรกิจตลาดทุนไทย” เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า หดตัว 14.6% ต่ำสุดรอบ 6 เดือนหลังโควิดระบาดหนัก แต่ยังอยู่ในโซน “ร้อนแรง” คาดหุ้นไทย 12 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มขาขึ้น รับแผนกระจายวัคซีน-เปิดประเทศ-เงินทุนต่างชาติไหลเข้า ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 1.5-2.5% และปี 65 ขยายตัว 4% ส่วนกำไร บจ.คาดขยายตัว 32% และปี 65 จะขยายตัว 17%

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) จากผลสำรวจในเดือน เม.ย.2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า(ก.ค.64) อยู่ที่ระดับ 124.37 ปรับตัวลดลง 14.6% จากเดือนก่อน หรือต่ำสุดในรอบ 6 เดือน แต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”(Bullish) ต่อเนื่อง

โดยความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับตัวลดลง 7% อยู่ที่ระดับ 129.27 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 11% อยู่ที่ระดับ 137.50 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวลดลง 37% อยู่ที่ระดับ 94.44 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับตัวลดลง 20% อยู่ที่ระดับ 120.00

ทั้งนี้นักลงทุนคาดหวังแผนการกระจายวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และสถานการณ์เศรษฐกิจจีน สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุดคือ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ในประเทศไทย รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศและสัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือน

นายไพบูลย์ กล่าวโดยสรุปว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มอยู่ในขาขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า ปัจจัยสนับสนุนหลักคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย การฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน อัตราเร่งในการฉีดวัคซีน การเปิดประเทศ และการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างชาติ

ขณะที่มาตรการคุมเข้มของ ศบค.น่าจะช่วยให้สถานการณ์โควิดระลอกนี้ดีขึ้นในไม่ช้า และเชื่อว่ารัฐบาลจะออกมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
การเพิ่มจำนวนวัคซีนที่รัฐจะจัดหาเป็น 100 ล้านโดส ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้มาก ตลาดหุ้นไทยจะตอบรับอีกมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการกระจายและฉีดวัคซีน

เงินทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลเข้าเมื่อเกิดความชัดเจนกว่านี้ในการเปิดประเทศ ซึ่งน่าจะเริ่มเห็นนักลงทุนต่างประเทศทยอยซื้อหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลกในช่วงนี้เป็นเพียงภาวะชั่วคราว โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยก่อนปี 2565 มีน้อยมาก ด้านการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE tapering) มีแนวโน้มเริ่มต้นในปีหน้า แต่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยไม่น่ามีมาก

เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัว 1.5-2.5% ในปีนี้ และขยายตัว 4.0% ในปีหน้า โดยคาดการร์กำไรบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัว 32% ในปีนี้ และขยายตัว 17% ในปีหน้า

สำหรับในช่วงเดือน เม.ย.64 ดัชนี SET Index ผันผวนอยู่ระหว่าง 1,541.12 -1,596.27 จุด โดยได้รับแรงกดดันจากการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 จากกลุ่มสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนในกรุงเทพ และแพร่กระจายไปยังหลายจังหวัดทั่วประเทศในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ที่ประชาชนกลับต่างจังหวัด ซึ่งส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่เพิ่มสูงเกินกว่า 1,000 รายต่อวัน

อีกทั้งได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับลงอย่างหนัก จากการประกาศข้อเสนอเก็บภาษีกำไรจากการลงทุน (Capital Gains Tax) เพิ่มเกือบเท่าตัว อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากรัฐบาลไทยประกาศแผนการจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มขึ้น และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท

รวมถึงมูลค่าการส่งออกของไทยเดือน มี.ค.64 ขยายตัวถึง 8.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยสิ้นเดือน เม.ย.64 ดัชนี SET index ปิดที่ 1,583.13 ปรับตัวลงลง 0.26% จากเดือนก่อนหน้า

ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตามคือ ความชัดเจนของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ และแผนการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนหลังจากจีดีพีจีนช่วงไตรมาส 1/2564 ขยายตัวมากถึง 18.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน การระบาดระลอกใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ของไวรัส Covid-19 ในอินเดีย และการประกาศล็อกดาวน์อีกครั้งในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, เยอรมัน ซี่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก

ในส่วนปัจจัยภานในประเทศคือ การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ แผนจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมและเร่งฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ถูกสั่งปิดในพื้นที่ควบคุม รวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/64