ราคาทองพุ่งสวนบิตคอยน์ร่วง-ในประเทศลุ้นแตะ 29,000 บาท

ทอง

ราคาทองรับอานิสงส์ “บิตคอยน์ดิ่ง-กังวลเงินเฟ้อพุ่ง” นายกสมาคมค้าทองฯชี้ราคาทำนิวไฮรอบ 6 เดือน ทองในประเทศมีลุ้นถึง 2.9 หมื่นบาท “บล.โกลเบล็ก” มอง 16 มิ.ย.ชี้ชะตาทะยานต่อหรือจบรอบรีบาวนด์ หลังราคา spot วิ่งขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย.ถึงปัจจุบัน 7.5% ส่วนทองในประเทศแจ่มกว่าพุ่ง 13% อานิสงส์บาทอ่อน แนะขายลดความเสี่ยงตอนใกล้ 1,900 เหรียญ ฟาก “ฮั่วเซ่งเฮง” หนุนเข้าซื้อเมื่อราคาย่อลงไปที่ 1,820 เหรียญ

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจนถึงขณะนี้ ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือนแล้ว โดยราคาทองคำต่างประเทศ (gold spot) อยู่ที่ระดับ 1,870 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

ขณะที่ราคาทองคำในประเทศได้รับอานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่าด้วย ราคาทองคำแท่งขายออกขึ้นไปที่ระดับ 27,800 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งระยะข้างหน้ามีแนวโน้มยังปรับตัวขึ้นได้

อีกอย่างไรก็ดี ต้องจับตาว่า ระยะต่อไปราคาทองคำต่างประเทศจะทดสอบว่าจะยืนเหนือระดับ 1,875 เหรียญได้หรือไม่ หากยืนได้ราคาก็สามารถขยับขึ้นไปต่อจนถึง 1,900 เหรียญได้ แต่หากยืนไม่ได้ราคาก็คงมีการปรับตัวลงส่วนราคาในประเทศ จะทดสอบที่ระดับ 27,500-28,000 บาท หากยืนได้ก็มีโอกาสไปถึง 29,000 บาทได้

“ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทอง ตอนนี้ก็มีเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่ดี ทำให้มีการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมาก รวมถึงสถานการณ์โควิด ยังมีความรุนแรง จากเดิมที่มองว่าพอมีวัคซีนออกมาแล้ว ราคาทองคำจะเป็นขาลง แต่ปรากฏว่าการระบาดยังรุนแรง ทำให้ราคาทองยังปรับขึ้นมา

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ราคาบิตคอยน์ตกค่อนข้างหนัก จากนโยบายประเทศจีนที่ห้ามซื้อขาย และการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงขึ้นหลาย ๆ ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น แต่ขึ้นมาระดับหนึ่ง ก็คิดว่าอาจจะมีการปรับฐานได้

ซึ่งต้องดูว่าจะยืนเหนือ 1,875 เหรียญได้ไหม แต่ถ้าลงก็ไม่น่าลงมาก เพราะเศรษฐกิจและการจ้างงานสหรัฐยังไม่ดี ยังต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเยอะอยู่”

นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ซื้อขายทองคำช่วงนี้ ในด้านคนซื้อค่อนข้างเงียบเหงา เพราะจากราคาที่ปรับตัวขึ้นมา ทำให้คนที่จำเป็นต้องใช้เงินตัดสินใจนำทองคำออกมาขายมากกว่า แต่ก็ไม่มากเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากคนขายทองกันไปมากตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้ปีนี้ไม่มีทองจะขายแล้ว

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ราคาทองมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,900 เหรียญ หรือถ้าเป็นทองในประเทศจะตกประมาณ 28,300 บาท โดยปัจจัยหลัก ๆ มาจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่เร่งตัวขึ้น

รวมถึงการที่จีนมีการประกาศแบนคริปโทเคอร์เรนซีอย่างไรก็ดี จุดที่จะตัดสินว่าราคาทองคำจะจบรอบขาขึ้นรอบนี้หรือไม่ คือ วันที่ 16 มิ.ย. 2564 ที่จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งตอนนี้ตลาดจับตาว่า อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น อาจจะทำให้เฟดต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย หรือถอนมาตรการ QE

“ถ้าเฟดมีการส่งสัญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ราคาทองก็อาจจะปรับตัวลง แต่ถ้าเฟดไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ราคาทองก็ยังไปต่อได้ ราคาในประเทศก็มีโอกาสไปถึง 29,000 บาทได้ อย่างไรก็ดี ยิ่งใกล้ถึงวันประชุม ราคาน่าจะเคลื่อนไหวแคบลง ถ้าใครอยากขายลดความเสี่ยง ก็รอจังหวะใกล้ ๆ 1,900 เหรียญ ก็ขายออกก่อนได้ เพราะที่ผ่านมาถือว่าราคารีบาวนด์ขึ้นมาค่อนข้างเยอะ” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตั้่งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบัน (ณ 20 พ.ค. 2564) ราคาทองคำ Spot ยังติดลบ 1-2% ขณะที่ทองในประเทศเพิ่มขึ้นแล้ว 3% และหากดูตั้งแต่เดือน เม.ย. 2564 จนถึงปัจจุบันจะเห็นว่าราคาทอง Spot ปรับขึ้นมา7.5% ส่วนทองในประเทศปรับขึ้นแล้วถึง 13% เนื่องจากเงินบาทที่อ่อนค่า

นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาราคาทองปรับขึ้นมาค่อนข้างมาก จากความกังวลเงินเฟ้อในสหรัฐและจีนที่เร่งตัวขึ้น และอาจนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ แต่ช่วงนี้เริ่มทรงตัว และน่าจะยืนได้ในกรอบ 1,850-1,880 เหรียญ เนื่องจากคาดว่าการประชุมเฟดน่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือพูดถึงการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย

โดยหากทองย่อลงมาที่ระดับ 1,820 เหรียญ ก็เป็นระดับที่นักลงทุนน่าจะกลับเข้าไปซื้อได้ ส่วนทองแท่งในประเทศ แนวต้านอยู่ที่ 27,900 บาท แต่ถ้าราคาย่อมาที่ 27,500 บาท ก็ทยอยซื้อกลับได้

“ถ้ามองเป็นไซเคิล ต้องบอกว่าที่ราคาทองทำราคาสูงสุดเมื่อปีที่แล้ว เป็นเพราะโควิดที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แล้วไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ แต่พอมาต้นปีนี้ มีเรื่องวัคซีนที่เริ่มกระจายไปทั่วโลกบรรยากาศก็ดูเหมือนเศรษฐกิจจะฟื้น ทองก็ย่อตัวลงมา

ซึ่งภาพต่อจากนี้ผมก็เชื่อว่าวัคซีนจะทยอยออกมาเรื่อย ๆ จนทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ดังนั้นจะเป็นภาพเศรษฐกิจฟื้นตัว แต่ด้วยปริมาณ QE จำนวนมาก กับมาตรการทางการคลังของหลาย ๆ ประเทศ

และการเร่งบริโภคหลังทุกอย่างกลับมา จะทำให้เงินเฟ้อตามมา กับหนี้สาธารณะที่จะมากขึ้นซึ่งจะทำให้ทองกลับมาเป็นไซเคิลขาขึ้นอีกรอบได้ ดังนั้นปีนี้ผมคิดว่าปัจจัยต่าง ๆ ยังเป็นบวกกับทอง แต่อาจจะไม่ได้มาก ถ้านักลงทุนมองภาพยาว ช่วงนี้ทองก็น่าลงทุน” นายธนรัชต์กล่าว