ttb Analytics หวั่นราคาเหล็กพุ่ง 18% ฉุดมาร์จิ้นธุรกิจหด 2-4%

ภาพ pixabay

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb A0nalytics ประเมินราคาเหล็กทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น 2 เท่า มาอยู่ที่ 18% ตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจประเทศพัฒนาเร่งฉีดวัคซีน คาดปีนี้การบริโภคเหล็กทั่วโลกขยายตัว 5.8% หวั่นราคาเหล็กพุ่งกระทบธุรกิจบริโภคเหล็กปลายน้ำ เครื่องจักรกล-ยานยนต์และชิ้นส่วน-รับเหมาก่อสร้าง มาร์จิ้นหดตัว 2-4% แนะบริหารจัดการวัตถุดิบสต๊อกเหล็กในคงคลังให้สั้นลง-ขายให้เร็วขึ้น

วันที่ 8 มิถุนายน 2564 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) ระบุว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันราคาเหล็กทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันในปี 2564 ที่ราคาปรับสูงขึ้นกว่า 2 เท่าตัว ทั้งนี้ รายงานของ The World Steel Association (เดือนเมษายน 2564) คาดว่าในปี 2564 การบริโภคเหล็กทั่วโลกจะขยายตัวที่ 5.8% จากปี 2563 ที่หดตัว 0.2% สาเหตุหลักเกิดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาที่เร่งฉีดวัคซีนและจะเริ่มเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในปลายปี 2564 นี้

โดยสหรัฐอเมริกามีการบริโภคเหล็กขยายตัว 8.1% และกลุ่มประเทศอียูมีการบริโภคขยายตัว 10.2% ในขณะที่จีน ซึ่งเป็นตลาดเหล็กรายใหญ่ของโลกคิดเป็น 56% ของการบริโภคทั่วโลก คาดว่าปีนี้จะขยายตัวเพียง 3.0% จากปี 2563 ที่ขยายตัวสูงถึง 9.1% เนื่องจากปี 2563 จีนจัดการการระบาดของโรคโควิด-19 ได้เร็วในช่วงไตรมาสแรก ทำให้การบริโภคเหล็กในประเทศกลับมาเร็ว

ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ว่าความต้องการเหล็กจะปรับเพิ่มขึ้น จึงเกิดความกังวลด้านซัพพลายเหล็กว่าจะเพียงพอหรือไม่ เนื่องจากจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกคิดเป็น 58% ของการผลิตโลก มีนโยบายควบคุมโรงงานเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานปล่อยมลพิษในเมืองถังซาน ซึ่งเป็นเมืองที่ผลิตเหล็กคิดเป็น 14% ของกำลังการผลิตรวมในจีน

จึงทำให้เกิดความกังวลด้านซัพพลาย และเก็บกักสต๊อกเหล็กในประเทศ ทำให้ราคาเหล็กของจีนและเหล็กทั่วโลกปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อผู้บริโภคเหล็กในประเทศจีนมาก เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทางการจีนออกมาตรการควบคุมไม่ให้ราคาเหล็กในประเทศพุ่งสูงขึ้นมากเกินไป ด้วยการควบคุมระดับสต๊อกเหล็กของผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อลดการเก็งกำไร ทำให้ราคาเหล็กในจีนปรับตัวลดลง

ttb Analytics คาดว่า ในปี 2564 ราคาเหล็กโลกจะเพิ่มขึ้นจากปี 2563 เฉลี่ยกว่า 75% โดยประเมินว่าระดับราคาเหล็กในครึ่งปีแรกจะเป็นระดับราคาสูงสุดในปี 2564 นี้ และในช่วงครึ่งปีหลัง ราคาเหล็กจะมีเสถียรภาพมากขึ้นจากการที่ทางการจีนใช้มาตรการควบคุมราคาเหล็ก เพื่อไม่ให้กระทบผู้บริโภคเหล็กในประเทศ ประกอบกับระดับราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกในประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น หลังปรับลดกำลังการผลิตลงในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 ที่ผ่านมากว่า 10-20%

คาดราคาเหล็กในประเทศปี 2564 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18% ในขณะที่ปี 2563 ลดลง 7.2% จากลงทุนเอกชนน้อย การศึกษาความสัมพันธ์การส่งผ่านราคาเหล็กโลกและการลงทุนภาคเอกชนไปยังราคาเหล็กในประเทศ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าการเคลื่อนไหวของราคาเหล็กในประเทศจะแปรผันไปตามภาวะการลงทุนในประเทศ มากกว่าระดับราคาเหล็กในตลาดโลก โดยการลงทุนในประเทศที่เพิ่มขึ้น 1% จะส่งผ่านไปยังราคาเหล็กในประเทศให้เพิ่มขึ้น 0.48% ในขณะที่ระดับราคาเหล็กทั่วโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น 1% จะส่งผ่านไปยังราคาเหล็กในประเทศให้เพิ่มขึ้น 0.13%

ดังนั้น จากแนวโน้มการลงทุนในประเทศที่คาดว่าจะเริ่มทยอยฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 นี้ หลังจากมีการเร่งฉีดวัคซีนเริ่มส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและส่งผลให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาเหล็กทั่วโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากการที่จีนเข้ามาควบคุมการเก็งกำไรสต๊อกในประเทศ และกลุ่มประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่มีแรงจูงใจด้านราคาเพิ่มกำลังผลิตเหล็กมากขึ้น

จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ttb Analytics คาดว่าจะทำให้ราคาเหล็กในประเทศของไทยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18% โดยครึ่งปีแรกปรับเพิ่มขึ้น 25% ในขณะที่ครึ่งปีหลังปรับเพิ่มขึ้น 12% โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การฟื้นตัวของการลงทุนในประเทศ และระดับราคาเหล็กในประเทศจีนเนื่องจากไทยพึ่งพิงการนำเข้าเหล็กจีนถึง 35% ของการนำเข้ารวม โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

คาดการบริโภคเหล็กสำเร็จรูปในประเทศกลับมาฟื้น 5-8%

คาดว่า ในปี 2564 นี้การบริโภคเหล็กสำเร็จรูปในประเทศจะขยายตัว 5-8% จากปี 2563 ที่หดตัว 11.6% จากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การบริโภคเหล็กที่นำไปผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปลดลง แม้ว่าการบริโภคเหล็กในปี 2564 นี้ จะมีการฟื้นตัวดีขึ้น จากอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อันได้รับผลดีจากการส่งออกที่ดีขึ้น แต่ธุรกิจก่อสร้างที่มีการบริโภคเหล็กถึง 63% ของการบริโภคเหล็กรวมทั้งประเทศ พบว่ายังมีการฟื้นตัวช้า

โดยปริมาณการขายปูนซีเมนต์ในไตรมาสแรกของปี 2564 ยังหดตัว 5.9% จากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอลง และประเมินว่าผลกระทบจะต่อเนื่องในไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ช่วงกลางไตรมาส 3 เป็นต้นไป ธุรกิจก่อสร้างจะทยอยฟื้นตัว เนื่องจากจะได้รับผลดีจากการกระจายฉีดวัคซีนมากขึ้น การติดเชื้อใหม่ลดลง ในขณะที่ธุรกิจยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประเมินว่าเป็นธุรกิจที่ฟื้นตัวได้ดีจากภาคการส่งออกที่ดีขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2564 จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในประเทศพัฒนาแล้ว

ธุรกิจบริโภคเหล็กปลายน้ำส่อเค้ามาร์จิ้นลด 2-4%

ttb Analytics ทำการศึกษาผลกระทบราคาเหล็กในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยวิเคราะห์จากโครงสร้างต้นทุนเหล็กต่อต้นทุนรวม และอัตรากำไรขั้นต้นจากงบการเงินเฉลี่ยของธุรกิจ โดยเจาะลึกธุรกิจที่บริโภคเหล็กมาก ได้แก่ ภาคก่อสร้าง (63%) ภาคยานยนต์ (17%) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (9%) และเครื่องจักรและอุปกรณ์ (5%) พบว่า ระดับราคาเหล็กในประเทศที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18% ในปี 2564 นี้ ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบต่อมาร์จิ้นสูงสุด

ได้แก่ เครื่องจักรกลและชิ้นส่วน ยานยนต์และชิ้นส่วน รับเหมาก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมาร์จิ้นของธุรกิจจะลดลง 4.0%, 3.2%, 3.0% และ 2.4% ตามลำดับ เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ พึ่งพิงวัตถุดิบเหล็กมาก แต่ความสามารถในการปรับราคาขายต้องใช้เวลานาน ทำให้อัตรากำไรลดลงจากภาวะต้นทุนเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้น และหากแยกผลกระทบรายครึ่งปี พบว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ราคาเหล็กในประเทศเพิ่มสูงเฉลี่ย 25% มาร์จิ้นของธุรกิจลดลง 2.3%-5.3% และในช่วงครึ่งปีหลังราคาเหล็กเริ่มผ่อนคลายทำให้ราคาเหล็กเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12% ในขณะที่มาร์จิ้นจะลดลง 1.1%-2.7%

ดังนั้น ธุรกิจผู้บริโภคเหล็กปลายน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขึ้นของวัตถุดิบทำให้มาร์จิ้นลดลง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะบริหารจัดการวัตถุดิบสตUอกเหล็กในคงคลังให้สั้นลงและขายให้เร็วขึ้น และหากเป็นไปได้ เมื่อมีการซื้อวัตถุดิบเหล็กในราคาสูงและจำเป็นต้องปรับเพิ่มราคาสินค้าขายเมื่อผลิตเสร็จ ควรทำการเจรจากับผู้ซื้อสินค้าล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ซื้อทราบเงื่อนไขเตรียมรับคำสั่งซื้อในราคาที่เพิ่มสูงขึ้น