จับตาผลประชุมเฟด หนุนตลาดเปิดรับความเสี่ยง-เก็งค่าเงินบาทแข็ง

เงินบาท

แบงก์ประเมินกรอบเงินบาทเคลื่อนไหว 33.20-33.80 บาท/ดอลลาร์ เผยเกาะติดผลการประชุมเฟด 14-15 ธ.ค.นี้ ชี้หากส่งสัญญาณเร่งนโยบายลดคิวอี-ขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด-โอไมครอนคลายกังวล หนุนตลาดเปิดรับความเสี่ยง ดันฟันด์โฟลว์ไหลเข้าเก็งค่าเงินบาทแข็ง

วันที่ 12 ธันวาคม 2564 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรอบเงินบาทสัปดาห์หน้า (วันที่ 13-17 ธันวาคม 2564) เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.20-33.80 บาทต่อดอลลาร์ โดยในสัปดาห์หน้าความผันผวนในตลาดการเงินอาจเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากจะมีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญหลายอย่าง โดยเฉพาะผลการประชุมของธนาคารกลางสำคัญ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ)

โดยผลการประชุมดังกล่าวจะมีผลต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะผลการประชุมเฟด ซึ่งตลาดจะรอลุ้นว่าเฟดจะส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าอย่างไร รวมถึงจะมีการประกาศลดการเข้าซื้อพันธบัตรผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในอัตราเร่งขึ้นหรือไม่ ซึ่งหากเฟดมีการปรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย หรือรายงาน Dot Plot ใหม่ว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หรือเฟดยังไม่ได้มีมติปรับลดคิวอีในอัตราเร่งขึ้น ก็อาจทำให้ตลาดยังเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อได้

โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Growth, Innovation ที่อาจปรับตัวขึ้นได้ดี หากเฟดไม่เร่งรีบใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็อาจปรับตัวสูงขึ้นได้เช่นกัน ขณะที่ภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้

“เรามองว่าเฟดอาจตัดสินใจปรับขึ้นอัตราการลดคิวอี รวมถึงส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปี 2565 สำหรับ Dot Plot ใหม่ ซึ่งเชื่อว่าคงไม่ได้ส่งผลเชิงลบต่อตลาดการเงินมากนัก เพราะประเด็นดังกล่าวได้ถูกรับรู้ไปในราคาสินทรัพย์มากพอสมควรแล้ว”

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า สัปดาห์หน้ายังมีโอกาสผันผวนสูงขึ้น แม้ว่าเงินบาทจะได้แรงหนุนจากกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ต่างชาติที่ทยอยไหลเข้าบอนด์ระยะสั้น เพื่อเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่า แต่ก็อาจเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากท่าทีเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อราคาสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ รวมถึงราคาทองคำได้ โดยราคาทองคำอาจย่อตัวลง หากเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น

โดยกระแสฟันด์โฟลว์สัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 6-10 ธ.ค. 2564) พบว่าตลาดหุ้นขายสุทธิ 1.9 พันล้านบาท
พันธบัตร (บอนด์) ซื้อสุทธิ 1.23 หมื่นล้านบาท โดยเป็นบอนด์สั้นสูงถึง 1.3 หมื่นล้านบาท

“จะเห็นได้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังจากปัญหาการระบาดของโอไมครอน ไม่ได้น่ากังวลอย่างที่คาดการณ์ไว้ และการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก็ยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันอยู่ โดยราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกต่างปรับตัวสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน สกุลเงินโดยรวมก็ปรับตัวแข็งค่าขึ้น ส่วนเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากตลาดลดสถานะการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยลง ซึ่งความกังวลการระบาดของโอไมครอนที่ลดลงนั้น ได้ช่วยหนุนให้ผู้เล่นต่างชาติกลับมาเก็งกำไรการแข็งค่าของเงินบาทอีกครั้ง ดังจะเห็นได้จากยอดซื้อบอนด์สั้นสุทธิที่เพิ่มขึ้นสองวันติดเกือบ 1.4 หมื่นล้านบาท”

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรอบเคลื่อนไหวในสัปดาห์หน้าอยู่ที่ 33.40-33.80 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยสำคัญต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 ธ.ค. 64 คาดว่าจะพิจารณาเร่งลดโครงการซื้อสินทรัพย์ (QE tapering)

“ตลาดจะให้ความสนใจกับประมาณการอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยเจ้าหน้าที่ของเฟด (dot plot) เช่นกัน หากท่าทีของเฟดแข็งกร้าวต่อการควบคุมเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ ค่าเงินดอลลาร์อาจได้รับแรงหนุน”

นอกจากนี้ ยังต้องจับตายอดค้าปลีกสหรัฐ, กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะที่เข้ามาพักในพันธบัตรระยะสั้นของไทย, สถานการณ์โอไมครอนทั่วโลก, การประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี)