ThaiBMA คาดปี’65 ยอดออกหุ้นกู้ทะลุ 1 ล้านล้านต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

“โกลเบล็ก” แนะช็อป 9 หุ้นเด่นกลุ่มอสังหาฯรับคลายกฏ LTV

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ  ThaiBMA  คาดปี 2565 ยอดออกหุ้นกู้จะทะลุ 1 ล้านล้านเป็นปีที่ 3 หลัง ด้านฟันด์โฟลว์คาดปีนี้ไหลออก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond yield) คาดปรับตัวสูงขึ้นจากทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น

วันที่ 12 มกราคม 2565 นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ  ThaiBMA กล่าวว่าในปี 2564 มีมูลค่าการออกหุ้นกู้ระยะยาวทะลุ 1 ล้านล้านบาทเป็นปีที่สอง โดยมียอดการออกที่ 1,034,572 ล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 50 จากปีก่อนหน้า เป็นการเพิ่มขึ้นจากทั้งกลุ่ม Investment grade และ High yield โดยหุ้นกู้ที่ออกในกลุ่ม High yield ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้มีประกันที่กว่าร้อยละ 53 เป็นการค้ำประกันโดยนิติบุคคลอื่น

สำหรับปริมาณการออกหุ้นกู้ระยะยาวในปี 2565 ทางสมาคมคาดว่าจะทะลุ 1 ล้านล้านบาทเป็นปีที่สาม เนื่องจากเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง รวมถึงบริษัทเอกชนไทยที่น่าจะยังมีความต้องการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์โอมิครอน

ขณะที่ในส่วนของเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) คาดว่าจะไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทย เนื่องจากคาดว่าอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะปรับขึ้นค่อนข้างแรง ในขณะที่เงินเฟ้อของไทยยังไม่ชัดเจนเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายที่จะตรึงราคาหลายๆ อย่าง จึงคาดว่าอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) พันธบัตรรัฐบาลไทย น่าจะปรับตัวขึ้นช้าและอาจจะต่ำกว่าสหรัฐฯ จึงเป็นเงินทุนไหลออก แต่เงินทุนที่ไหลออกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจเนื่องจากยังมีการออมระยะยาวที่พร้อมจะซื้อพันธบัตรอยู่

ทั้งนี้ในปี 2564 ที่มียอดสุทธิไหลเข้า ซึ่งมีปัจจัยมาจากภาคการออมของไทยยังมีสภาพคล่องสูง  นักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทยในสัดส่วนที่น้อย หรือ 1.02 ล้านล้านบาท คิดเป็น 6.8 % ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทย” นายธาดา กล่าว

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA  กล่าวว่า ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond yield) อายุ 10 ปี ปิดสิ้นปี 2564 ที่ประมาณ 1.8-1.9% ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่า Bond yield อายุ 10 ปี ขยับขึ้นมาทะลุ 2% ซึ่งมองไปข้างหน้าในช่วงสิ้นปี 2565 คาดว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้จาก Bond yield ที่กระชากขึ้นมาทั้งของสหรัฐที่มาจากปัจจัยเงินเฟ้อ

ส่วนของประเทศไทยแม้ว่าเงินเฟ้อทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าจะอยู่ภายใต้กรอบนโยบายที่อัตราเงินเฟ้อไม่เกิน 3% แต่ก็ดูเหมือนมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้น จากปัจจัยเรื่องของราคาน้ำมัน และการชะงักงันหรือสะดุดของห่วงโซ่อุปทาน และการแพร่ระบาดของโควิดและทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังกลับมาได้ไม่เต็มที่

ซึ่งจากปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศทำให้มองว่า ในช่วงสิ้นปี 2565 Bond yield อายุ 5 ปี และ 10 ปี น่าจะขยับตัวสูงขึ้นมาประมาณ 50 bps. หรือประมาณ 0.5% ทำให้ Bond yield อายุ 5 ปีอาจจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1.7-1.8% ส่วน Bond yield อายุ 10 ปี ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.3-2.51% ขณะที่ Bond yield อายุ 2 ปี เนื่องจากมีโอกาสที่ช่วงไตรมาส 4 ดอกเบี้ยนโยบายจะปรับตัวขึ้น จึงคาดว่าน่าจะขยับขึ้นมาไม่เกิน 10 bps. เคลื่อนมาอยู่ที่ประมาณ 0.75% ในช่วงสิ้นปี 2565