ไทยประกันชีวิต ครบ 80 ปี จ่อขายหุ้น IPO กว่า 2,384 ล้านหุ้น พร้อมเตรียมกรีนชูอีก 13.5%

ไทยประกันชีวิต Home isolation
ภาพจาก pixabay

ไทยประกันชีวิต เข้าระดมทุนตลาดหุ้นไทยปีนี้ จ่อขายหุ้น IPO กว่า 2,384 ล้านหุ้น พร้อมเตรียมกรีนชูอีก 13.5% แจงนำเงินไปลงทุน “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม” รวมถึงทำการตลาด-เสริมความแข็งแกร่งของเงินทุน ชูจุดแข็งแบรนด์เก่าแก่ 80 ปี มีลูกค้าในมือ 4.5 ล้านกรมธรรม์

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2565 ซึ่งเป็นวาระที่ไทยประกันชีวิตดำเนินธุรกิจครบ 80 ปี โดยบริษัทเตรียมเสริมศักยภาพในการเปลี่ยนผ่านองค์กรเพื่อรองรับวิสัยทัศน์การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน โดยอยู่ระหว่างการขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)

โดยมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 2,384,318,900 หุ้น หรือไม่เกินร้อยละ 20.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท

ไชย ไชยวรรณ

ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัท จำนวนไม่เกิน 1,000,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 8.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้

และ (2) หุ้นสามัญที่ถือโดยผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 1,384,318,900 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 11.9 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้

นอกจากนี้ ณ วันปิดการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ หากมีผู้จองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมากกว่าหุ้นสามัญที่เสนอขายทั้งหมด อาจมีการพิจารณาจัดสรรหุ้นส่วนเกินให้แก่ผู้ลงทุนจำนวนไม่เกิน 322,547,900 หุ้น หรือไม่เกินร้อยละ 13.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้

โดยเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ไทยประกันชีวิตจะนำไปลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) และการทำการตลาด รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านพันธมิตร รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน

นายไชยกล่าวด้วยว่า วิสัยทัศน์ของไทยประกันชีวิตมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนนั้น แผนการดำเนินงาน (Roadmap) ในช่วงแรกจะเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่มั่นคง (Transforming Tomorrow) ไทยประกันชีวิตจึงได้ปรับกระบวนทัศน์ในการดำเนินธุรกิจทุกด้าน โดยกำหนด Business Purpose เป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต การประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล หรือ Life Solutions Provider

ส่วนช่วงที่สอง คือ การก้าวสู่อนาคตที่เข้มแข็งและยั่งยืน (Sustainable Tomorrow) เพื่อพร้อมรับมือกับ Business Landscape ของธุรกิจประกันชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่กำหนด ไทยประกันชีวิตจึงดำเนินกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่

1.การขับเคลื่อนองค์กรสู่ Data Driven Company-ไทยประกันชีวิตปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อเปลี่ยนสู่การเป็น Life Solutions Provider อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อขับเคลื่อนองค์กรด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานแบบครบวงจร (End-to-end) จากความได้เปรียบที่บริษัทมี Big Data จากฐานลูกค้าโดยอ้างอิงจากจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับใช้กว่า 4,500,000 กรมธรรม์ นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่จะตอบสนองความต้องการของผู้เอาประกันแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกการใช้ชีวิต (Lifestyle)

พร้อมกันนี้ ไทยประกันชีวิตมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ โดยการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ผ่านการปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานแบบครบวงจรด้วยระบบดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดสำหรับการดำเนินงานของบริษัท

2.การเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ไทยประกันชีวิตมีกลยุทธ์ในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดด้วยการพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นช่องทางตัวแทนประกันชีวิตที่แข็งแกร่งกว่า 66,000 ราย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนตัวแทนประกันชีวิตทั้งหมดในประเทศไทย และเป็นบริษัทประกันชีวิตสัญชาติไทยเพียงแห่งเดียวที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเครือข่ายตัวแทนที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

ขณะเดียวกันบริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วย (1) ธนาคารพาณิชย์ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย และธนาคารทิสโก้ ที่มีเครือข่ายสาขารวมกันมากกว่า 740 แห่งทั่วประเทศ (2) ธนาคารและองค์กรของรัฐที่มีเครือข่ายสาขารวมกันมากกว่า 2,900 แห่ง

(3) บริษัทลีสซิ่งและเช่าซื้อจำนวน 8 แห่ง และบริษัทสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคอีกจำนวน 2 แห่งที่มีสาขาและจุดจำหน่ายรวมกันมากกว่า 300 แห่ง ซึ่งทำให้ไทยประกันชีวิตมีความยืดหยุ่นทางธุรกิจในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางของพันธมิตรที่หลากหลาย และสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย

นอกจากนี้ยังมีการขายผลิตภัณฑ์ผ่านทางโทรศัพท์ (Telesales) และขยายสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) โดยเริ่มขายผลิตภัณฑ์ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทตั้งแต่ปลายปี 2564 และภายในปี 2565-2566 ไทยประกันชีวิตจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เอาประกันแต่ละราย

ขณะเดียวกันบริษัทยังมองหาโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศเมียนมา ซึ่งปัจจุบันบริษัทเข้าสู่ตลาดประเทศเมียนมาผ่านการลงทุน ใน CB Life Insurance โดยสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทอยู่ที่ร้อยละ 35 ของจำนวนหุ้นที่ออกแล้วทั้งหมดของ CB Life Insurance

3.การยกระดับประสบการณ์ของผู้เอาประกัน-ไทยประกันชีวิตมุ่งพัฒนาบริการที่มากกว่าการประกันชีวิต ใช้เทคโนโลยีเสริมสร้างความโดดเด่นในการให้บริการ โดยเป็นบริษัทประกันชีวิตเพียงแห่งเดียวที่ให้บริการไทยประกันชีวิตฮอตไลน์ ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินทางการแพทย์ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การเพิ่มความสะดวกให้กับผู้เอาประกันในการเข้าถึงข้อมูลกรมธรรม์ ตรวจสอบความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ ชำระค่าเบี้ยประกันภัย และค้นหาชื่อคลินิกและโรงพยาบาลคู่สัญญา ตลอดจนฟังก์ชั่นอื่น ๆ ผ่านแอปพลิเคชั่นไทยประกันชีวิต

ซึ่งในอนาคตจะพัฒนาสู่การเป็น Interest-based Platform หรือแพลตฟอร์มการรวมกลุ่มของคนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน และการมอบสิทธิพิเศษด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ การพักผ่อน การเดินทาง และบริการต่าง ๆ แก่ผู้เอาประกันผ่าน “ไทยประกันชีวิต Privilege” นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอการให้บริการที่ยกระดับประสบการณ์ของผู้เอาประกันอย่างต่อเนื่อง

สำหรับความแข็งแกร่งทางการเงิน เมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานรอบระยะเวลา 9 เดือนสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ไทยประกันชีวิตมีรายได้รวม 75,594.67 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 1.3 และมีกำไรสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8,198.70 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 16.7 โดยมีจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับใช้มากกว่า 4,500,000 กรมธรรม์ ทางด้านผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2554-2563 อยู่ที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี

ด้วยกลยุทธ์การจัดการที่สามารถบรรลุผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว โดยไทยประกันชีวิตสามารถรักษาประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจแม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากมีการเตรียมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี

รวมถึงยังมีสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) อยู่ที่ร้อยละ 343.0 ซึ่งสูงกว่าอัตราที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. จะเข้ามาดูแลคือร้อยละ 120 รวมไปถึงยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A- (ระดับสากล) และ AAA (tha) (ระดับภายในประเทศ) โดยสถาบัน Fitch Ratings[4] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเงิน

นายไชยกล่าวว่า ไทยประกันชีวิตยังมีพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญคือ บริษัท เมจิ ยาซูดะ ไลฟ์ อินชัวรันส์ จำกัด (MY) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่เก่าแก่และเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีเครือข่ายทั้งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน อินโดนีเซีย โปแลนด์ และประเทศไทย โดย MY ให้การสนับสนุนไทยประกันชีวิตในด้านต่าง ๆ เช่น การขยายตลาดองค์กรญี่ปุ่น (Japanese Worksite Marketing) การสนับสนุนด้านองค์ความรู้และความชำนาญต่าง ๆ รวมถึงศักยภาพด้านเทคโนโลยี และการเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มตลาดใหม่ ๆ โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางธุรกิจระดับโลกของ MY

นอกจากนี้ ไทยประกันชีวิตยังมีผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจรและหลากหลาย ทั้งด้านการคุ้มครองชีวิต คุ้มครองสุขภาพ การออม การลงทุน และการวางแผนมรดก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เอาประกันในแบบเฉพาะบุคคล รวมถึงเป็นผู้นำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้น ไทยประกันชีวิตยังได้สร้างฐานลูกค้ากลุ่มสถาบันและองค์กร ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องสำหรับการขายผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม (Cross-selling)

“จุดแข็งที่แตกต่างและสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ไทยประกันชีวิตเป็นแบรนด์ที่มีความเข้มแข็ง ด้วยจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับใช้กว่า 4,500,000 กรมธรรม์ ซึ่งสอดคล้องกับ Brand Purpose ของไทยประกันชีวิต ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความชื่นชอบ (Admired Brand) ได้รับความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ (Trusted Brand) และเป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนในสังคม (Inspire Brand)” นายไชยกล่าว