รุกตลาดใหม่! แมคโดนัลด์เอาใจมังสวิรัติ เตรียมขายเบอร์เกอร์ “แมค วีแกน” ในสวีเดน-ฟินแลนด์ 28 ธ.ค.นี้

สื่อต่างประเทศรายงานว่า แมคโดนัลด์ ร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง วางแผนที่จะเริ่มวางขายเบอร์เกอร์ “แมค วีแกน” หรือเบอร์เกอร์สำหรับมังสวิรัติ ในแมคโดนัลด์หลายร้อยสาขาทั่วสวีเดนและฟินแลนด์ ในวันที่ 28 ธ.ค.นี้

โดยเบอร์เกอร์ดังกล่าวซึ่งมีการทำการทดสอบแล้วในแมคโดนัลด์ประเทศฟินแลนด์ จะประกอบด้วย ถั่วเหลืองแผ่น, ขนมปัง, มะเขือเทศ, ผักกาดหอม, แตงกวาดอง, หอมหัวใหญ่, ซอสมะเขือเทศ, มัสตาร์ด, น้ำมัน และซอสแซนด์วิชที่ไม่มีส่วนผสมของไข่

“เหมือนกับเบอร์เกอร์อื่นๆ ของเรา แมค วีแกน นั้นมีรสชาติอร่อยและมีเท็กซ์เจอร์ที่ดี” เฮนริค เนเรลล์ โฆษกแมคโดนัลด์กล่าว

โดยเบอร์เกอร์ไร้เนื้อนี้ พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของแมคโดนัลด์กับบริษัทอาหารนอร์เวย์ที่มีชื่อว่า Orkla ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฟาสต์ฟู้ดสัญชาติอเมริกันได้ประโยชน์จากดีมานด์อาหารมังสวิรัติที่เพิ่มมากขึ้น

แมคโดนัลด์ระบุว่า เบอร์เกอร์ดังกล่าวจะเป็นเมนูถาวรใน 2 ประเทศนี้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการกินอาหารจากพืชเป็นหลัก ที่นับวันจะ “มากขึ้นและมากขึ้น” ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

“เนื่องจากส่วนผสมหลักของเบอร์เกอร์นี้เป็นพืช ทำให้ แมค วีแกน ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนน้อยลง” แมคโดนัลด์ระบุ ทั้งนี้ จากข้อมูลของสหประชาชาติระบุว่า การปศุสัตว์มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 14.5%

ไมเคิล มัลคามากิ นักศึกษาวัย 24 ปี ผู้ได้ทดลองชิมแทค วีแกน ในช่วงทดสอบที่ประเทศฟินแลนด์ กล่าวว่า รู้สึกประทับใจกับรสชาติมาก

“ผมพูดได้เลยว่ารสชาติของแมค วีแกน เหมือนปกติทั่วไป เหมือนแฮมเบอร์เกอร์ปกติ” มัลคามากิกล่าว ทั้งนี้ มัลคามากินั้นเป็นคนที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นผลมาจากเนื้อสัตว์ โดยเขาระบุว่า เขาจะลองกินแมค วีแกน อย่างจริงจังอีกครั้ง เพราะมันมีความแตกต่างกับเบอร์เกอร์ปกติไม่มากเลย

อย่างไรก็ตาม แมคโดนัลด์ไม่ได้เป็นบริษัทเดียวเท่านั้นที่กระโดดเข้าไปหาอาหารมังสวิรัติ ซึ่งเป็นอาหารที่จะต้องไม่ใช้เนื้อสัตว์ทุกชนิด, นม, ไข่ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์อื่นๆ โดยจากงานวิจัยของบริษัทมินเทลเปิดเผยว่า ในจำนวนอาหารที่เปิดตัวใหม่ในสวีเดนปีนี้ มีอาหารมังสวิรัติเป็นสัดส่วนเกือบ 10% เพิ่มขึ้น 8 เท่าจากปี 2012

ทั้งนี้ ข้อมูลจากบริษัทวิจัย ยูโรมอนิเตอร์ ระบุว่า ยอดขายอาหารมังสวิรัติทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกือบ 8% ในปีที่แล้ว หรือมีมูลค่าสูงถึง 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ