จำเลย”คดีครูจอมทรัพย์”ขึ้นศาล”สับ วาปี-เมีย”สารภาพรับ 2 ข้อหา

เมื่อเวลา 09.00น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ศาลจังหวัดนครพนมนัดพร้อมจำเลยในคดีของนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือ ศรีบุญหอม อายุ 56 ปี อดีตข้าราชการครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนคร พร้อมพวกรวม 11 คน ในหลายข้อหาต่างกรรมต่างวาระ มีอัยการจังหวัดนครพนมเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง โดยแยกสำนวนฟ้อง ในหมายนัดได้เรียกตัว นายสับ วาปี และ นางจันทร์ วาปี สองสามีภรรยาในคดีอาญา เลขที่ 290/61 รวม 5 ข้อหา (1)ซ่องโจร (2)ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย (3)ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย (4)ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความอาญาแก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และ(5)เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร อดีตสามีของนางจอมทรัพย์ คดีอาญาหมายเลข 331/61 ฟ้อง 3 ข้อหา (1)ซ่องโจร (2)ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย (3)ร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในข้อสำคัญในคดี ในการพิจารณาคดีอาญา และนางทองเรศ วงศ์ศรีชา คดีอาญาหมายเลข 356/61ฟ้อง 2 ข้อหา (1)ซ่องโจร (2)เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาลซึ่งความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี โดยนางทองเรศเดินทางมาพร้อมกับญาติจากบ้านนาคู่ อ.นาแก จ.นครพนม

นางทองเรศ กล่าวว่า ได้ออกจากบ้านมาตั้งแต่ 08.00น. โดยมีหลานสาวขับรถยนต์มาส่ง เติมน้ำมันให้ 300 บาท เพราะฐานะทางบ้านยากจน เป็นหม้ายสามีเสียชีวิตตั้งแต่ลูกสองคนยังเล็ก สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นวิบากกรรม เพราะไม่เคยคิดว่าจะต้องตกเป็นจำเลยในคดีของนางจอมทรัพย์ แต่ยอมรับว่าวันเกิดเหตุ (วันที่ 11 มีนาคม 2548) คนขับรถยนต์ชนนายเหลือ ในช่วงที่ตอนที่นางจอมทรัพย์นั้นต้องโทษแล้ว คือนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ เพื่อนบ้านที่เป็นคนขับรถจักรยานยนต์บอกศาลว่าตนซ้อนท้ายรถและเห็นคนขับรถยนต์เป็นชาย จึงมีชื่อปรากฏเป็นพยานบุคคลฝ่ายผู้ร้องในวันรื้อฟื้นคดี เมื่อวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งได้เบิกความต่อศาลตามความสัตย์ซื่อ กระทั่งวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ศาลฯพิจารณายกคำร้อง ตนจึงตกเป็นผู้ต้องหาร่วม ในวันที่ประกันตัวได้ยืมเงินหลานมา 10,000 บาทเพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันตัวออกไป และมีคนบอกให้ตนรับสารภาพว่าอยู่ในขบวนการปั้นแพะ แต่ไม่ยอมรับ เพราะไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น และพร้อมพูดในสิ่งที่เห็นเท่านั้น คือ เห็นคนขับรถยนต์คล้ายผู้ชายเดินลงมาจากประตูด้านขวา ก่อนรีบขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว จึงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

เมื่อศาลออกนั่งบัลลังก์ถามนางทองเรศว่ามีทนายมาด้วยหรือไม่ ก็ตอบว่าไม่มีศาลจึงจัดหาทนายขอแรง โดยได้นายเปรมศักดิ์ แสนคำ เป็นทนายความ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านนายนิรันดร์เดินทางมาพร้อมผู้รับมอบฉันทะจากทนายความได้ยื่นหนังสือขอเลื่อนคดี เนื่องจากทนายติดว่าความอีกคดีหนึ่ง อัยการเห็นควรไม่คัดค้าน ซึ่งนายนิรันดร์ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ศาลจึงขอหนังสือรับรองรายได้สุทธิในปัจจุบันมาแสดง ภายใน 15 วัน หากไม่มีจะต้องเปลี่ยนหลักประกันใหม่ เนื่องจากในวันที่นายนิรันดร์ยื่นประกันตัว ได้ใช้ตำแหน่งผู้อำรวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ และนายนิรันดร์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ด้านนายสับและนางจันทร์เดินทางจากจังหวัดมุกดาหาร โดยมีนายนิกร วาปี อายุ 33 ปี ลูกชายเป็นนายประกัน ซึ่งนายสับกับนางจันทร์รับสารภาพ 2 ข้อหาคือ แจ้งความเท็จ,เบิกความอันเป็นเท็จฯ ส่วนอีก 3 ข้อหาปฏิเสธ จากนั้นศาลอ่านคดี เลื่อนไปประชุมคดีร่วมกับนางจอมทรัพย์ในวันที่ 12 มีนาคม 2561 เวลา 09.00น. ซึ่งอัยการในฐานะโจทก์ได้ยื่นรายชื่อพยานบุคคลรวมทั้งสิ้น 53 ปาก

และศาลให้ส่งใบแถลงในวันที่ 7 มีนาคม 2561 ว่าพยานแต่ละคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยเป็นรายๆอย่างไร จากนั้นจำเลยทั้งหมดจึงเดินทางกลับภูมิลำเนา โดยนายนิรันดร์ และ นางทองเรศไม่ได้ทักทายพูดคุยกันแต่อย่างใด

ที่มา มติชนออนไลน์