ปูดอีก!”นร.นอก”ปลอมเอกสารนำเข้ารถหรู ส่งDSIตรวจ800คัน หลัง2ล็อตก่อนหน้าภาษีขาด1.8พันล.

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่1สิงหาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ นายชัยยุทธ คำคูณ รองอธิบดีกรมศุลกากร นายกีรติ รัชโน รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และพ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผบ.สำนักคดีภาษีอากร ร่วมกันแถลงความหน้าคืบหน้าคดีการนำเข้ารถยนต์หรูเลี่ยงภาษี

โดยพ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ดีเอสไอตรวจสอบมาตลอด แต่มีบางกลุ่มบางคน ให้ข่าวว่าดีเอสไอยังไม่ดำเนินการอะไรทำอะไร ข้อเท็จจริงพอดีเอสไอออกหมายเรียก บางคนก็มาตามหมายเรียกบางคนขอเลื่อน ทั้งนี้มีการระบุว่าดีเอสไอโบ้ยเรื่องการประเมินภาษีขาดนั้น ขอยืนยันว่าไม่จริง เพราะที่ผ่านมาทำงานร่วมกันตลอด กรมศุลกากรประเมินภาษีส่วนที่ขาดของรถยนต์หรู รอบ 2 จำนวน 91 คัน ส่งให้ดีเอสไอแล้วพบว่ามีภาษีอากรขาด 1,165 ล้านบาท ดังนั้น 2 ครั้ง รถยนต์จำนวน 124 คัน เป็นมูลค่าภาษีที่ขาดไป1,838ล้านบาท

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวต่อว่า ในส่วนของรถยนต์ที่ดีเอสไออายัดไว้ในในโชว์รูมของบริษัทต่างๆนั้น มีจำนวน59คันดีเอสไอส่งกลับคืนไปอยู่ในความดูแลของผู้ครอบครองแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีการเรียกเงินประกัน และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ หากมีใครไปติดต่อว่าสามารถเคลียร์คดีได้หรือเสียค่าใช้จ่าย ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะทำงานในรูปแบบคณะกรรมการ ดีเอสไอจะทำหนังสือสัญญากับผู้ครอบครอง เพื่อรับรองว่าพร้อมจะนำรถเข้ามาให้ดีเอสไอตรวจสอบได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามยืนยันว่าดีเอสไอเน้นดำเนินคดีกับผู้ประกอบการนำเข้า หากผู้ซื้อไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเข้าจะถือเป็นผู้เสียหาย หลังจากนี้ดีเอสไอจะมีหนังสืออย่างเป็นทางการเพื่อนัดหมายให้ผู้ครอบครองรถยนต์มาให้ดีเอสไอตรวจสอบ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อกลุ่มคนที่แอบอ้างว่าสามารถเคลียร์คดีให้ได้ เพราะคดีดังกล่าวดำเนินการตามพยานหลักฐานและร่วมกันตรวจสอบหลายหน่วยงาน จุดเริ่มต้นการตรวจสอบมาจากป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่ศุลกากรบางกลุ่มว่ามีส่วนรู้เห็นกับการสำแดงนำเข้าราคาเป็นเท็จ จนนำไปสู่การขอเอกสารหลักฐานราคารถยนต์จากประเทศต้นทาง ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างประเทศ

ด้านนายชัยยุทธ กล่าวว่า สำหรับรถยนต์ล็อตที่ 2 ดีเอสไอส่งให้ประเมินภาษีรวม302คัน ทยอยประเมินเสร็จสิ้นแล้ว91คัน อีก19คันอยู่ระหว่างการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เหลืออีก200คัน กรมศุลกากรกำลังเร่งประเมินภาษีส่งให้ดีเอสไอ สำหรับขั้นตอนการประเมินภาษี กรมศุลกากรใช้เอกสารของดีเอสไอเปรียบเทียบกับใบนำขนสินค้าและอินวอยด์ ที่ผู้นำเข้าได้ยื่นขอชำระภาษีในขั้นตอนพิธีการศุลกากร พบว่าราคาที่ผู้นำเข้าสำแดงต่ำกว่าราคาทุกคน ดังนั้นในส่วนนี้กรมศุลกากร จึงประเมินราคาภาษีขาด ตามราคาแท้จริง ตามข้อตกลงของแกท และส่งเรื่องให้ดีเอสไอ ได้แจ้งให้ผู้นำเข้า 5 บริษัทมาโต้แย้งชี้แจงตามขั้นตอน หากไม่สามารถชี้แจงได้กรมศุลกากรจะออกแบบแจงเรียกเก็บภาษีขาดไปยังผู้นำเข้าต่อไป ให้นำเงินมาชำระภาษีส่วนที่ขาด พร้อมกับเบี้ยปรับโดยกรมศุลกากรสามารถเรียกค่าปรับได้สูงสุด 4 เท่าของราคาที่แท้จริง

นายชัยยุทธ กล่าวต่อว่า สำหรับการสอบสวนเอาผิดทางวินัยเจ้าหน้าที่ที่รับราคา จะต้องรอขั้นตอนการสอบสวนคดีอาญาประกอบกันด้วย อย่างไรก็ตามขอชี้แจงว่าไม่ใช่การกำหนดราคาของกรมศุลกากร แต่เป็นเกณฑ์ประเมินความเสี่ยงผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องสำแดงราคานำเข้าที่แท้จริง ซื้อมาเท่าไหร่ต้องสำแดงเท่านั้น เพื่อใช้เป็นฐานพิจารณาภาษี ที่ผ่านมาผู้นำเข้าอาจคิดว่าศุลกากรไม่รู้ราคาที่แท้จริง แต่ปัจจุบันมีช่องทางความร่วมมือที่ทำให้ได้ราคาที่แท้จริงของรถยนต์ ดังนั้น จึงขอเตือนไปยังผู้นำเข้าไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทใด ให้สำแดงราคาที่แท้จริง ป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับผู้นำเข้าได้ในภายหลัง

Advertisment

ด้านนายกีรติ กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จะเกี่ยวข้องกับการนำเข้ารถยนต์เก่าหรือรถยนต์ใช้แล้ว ตามที่ให้สิทธิกับนักเรียนหรือคนไทยที่ทำงานในต่างประเทศที่อาจผูกพันกับรถยนต์ที่ใช้งานระหว่างอยู่ต่างประเทศ ให้สามารถนำรถกลับมาใช้ในประเทศได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องอยู่ในต่างประเทศไม่น้อยกว่า1ปีครึ่ง ถือครองรถยนต์คันดังกล่าวจำนวน1ปีครึ่ง และต้องมีใบขับขี่ในต่างประเทศ เพื่อยืนยันว่าเป็นผู้ใช้งานจริง โดยขั้นตอนนำเข้าจะพิจารณาจากเอกสารเนื่องจากกรอบการอนุญาตต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 25 วัน

นายกีรติ กล่าวต่อว่า ในขั้นตอนดังกล่าวเจ้าหน้าที่จะไม่เห็นรถที่ขอนำเข้า เจ้าหน้าที่ก็ต้องเชื่อว่าเอกสารผู้ขอนำเข้านั้นเป็นเอกสารที่ถูกต้อง เพราะยืนตามขั้นตอนและตามกรอบเงื่อนไขที่กหนด แต่มีเมื่อปี 2559 ที่ผ่านมามีข้อสังเกตว่ามีรถยนต์นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นจำนวนมาก จึงได้สุ่มตรวจสอบพบรถยนต์ 20 คัน ได้ตรวจสอบกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นพบว่ามีการออกใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ที่ถูกต้องตามกฎหมายญี่ปุ่นให้แก่ผู้ได้รับอนุญาตถูกต้องให้นำเข้าเพียง 2 ราย ส่วนอีก 18 ราย ไม่เคยมีประวัติการออกใบอนุญาตให้แต่อย่างใด กรมการค้าต่างประเทศจึงนำข้อมูลมาให้ดีเอสไอตรวจสอบ เนื่องจากมีความพร้อมทุกด้านในการดำเนินการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงการนำเข้ารถแบบผิดกฎหมาย หรือมีการปลอมแปลงเอกสาร เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ในประเด็นการนำเข้ารถยนต์ของนักเรียนไทยในต่างประเทศ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า พบเบาะแสการโอนเงินล่วงหน้าให้นักเรียนไทยเพื่อเป็นค่าจ้างซื้อรถ โดยให้เซ็นใบมอบอำนาจขายรถยนต์ไว้ก่อน และพบว่ามีนักเรียนไทยประมาณ 20 คน มอบอำนาจให้ทนายเพียงคนเดียวขออนุญาตนำเข้ารถใช้แล้วทั้งหมด ดีเอสไอขอเวลาสักระยะในการตรวจสอบเพื่อหาความเชื่อมโยงของกลุ่มบุคคลที่นำเข้ารถยนต์ในรูปแบบต่าง ๆ เพราะเชื่อว่ามีขบวนการนำรถซุปเปอร์คาร์มาสอดแทรกในบัญชีนำเข้ารถยนต์ของนักเรียนไทยในต่างประเทศ

Advertisment

“ผมขอชี้แจงว่าการสอบสวนคดีนำเข้ารถหรูไม่มีเจตนากลั่นแกล้งใคร แต่ต้องการเรียกคืนภาษีที่ชำระไว้ไม่ครบถ้วนกลับมาพัฒนาประเทศ คนที่มีเงินซื้อซุปเปอร์คาร์ เชื่อว่าทุกคนอยากจ่ายภาษี เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจไม่รับรู้ข้อเท็จจริงว่ามีการหลบเลี่ยงขั้นตอนนำเข้า ดีเอสไอจะดำเนินการกับผู้นำเข้าทุกราย เบื้องต้นล็อตแรก 32 คัน มาจากการบริษัทนำเข้า 3 ราย และล็อต 2 จำนวน 91 คัน มีผู้นำเข้า 5 ราย โดยกลุ่มผู้ต้องหาจะแบ่งหน้าที่กันทำหลายบริษัททั้งนำเข้า นำรถออกจากด่านศุลกากร และจัดจำหน่าย ความเชื่อมโยงทั้งหมดของผู้เกี่ยวข้องปรากฏตามพยานเอกสาร โดยบริษัทผู้เกี่ยวข้องทุกรายจะถูกเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาครบถ้วน ไม่สามารถละเว้นดำเนินการกับรายหนึ่งรายใดได้” พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าว

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวอีกว่า สำหรับรถที่โจรกรรมจากประเทศอังกฤษ ดีเอสไอได้รับหนังสือยืนยันจากประเทศอังกฤษแล้วว่า รถยนต์ตามหมายเลขตัวถังและเครื่องยนต์ที่สูญหายจากประเทศอังกฤษถูกส่งมาขายในประเทศไทย ในส่วนการดำเนินคดียังต้องรอการหารือในประเด็นข้อกฎหมายเนื่องจากเป็นการกระทำผิดนอกราชอาณาจักร ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะต้องดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมในประเทศไทย หรือส่งไปดำเนินคดีที่ประเทศอังกฤษ

ด้านพ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า สำหรับรถยนต์ล็อต 2 เป็นรถยนต์ที่ซื้อจากประเทศอิตาลีทั้งหมด แบ่งเป็นมาเซราติ 45 คัน ลัมโบร์กินี 46 คัน แต่ละคันสำแดงราคาต่ำตั้งแต่ 26-36 ล้านบาท ทำให้ภาษีขาดไปจำนวนมากถึง 1,100 ล้านบาท ทั้งนี้ยังมีรถที่อยู่ระหว่างติดตามตรวจสอบเพื่อส่งให้ประเมินภาษีอีกจำนวนมาก ขณะนี้ดีเอสไอรอการประเมินภาษีจากกรมศุลกากรอีก 200 คัน และกำลังเร่งรวบรวมหลักฐานส่งไปให้ศุลกากรประเมินภาษีอีก 1 ชุด

พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวต่อว่า สำหรับการนำเข้ารถยนต์โดยนักเรียนไทย 815 คัน กรมการค้าต่างประเทศส่งข้อมูลให้ตรวจสอบแล้ว794คัน เบื้องต้นไม่ได้หมายความว่ารถทุกคันจะนำเข้าผิดทั้งหมด แต่พบการใช้เอกสารปลอมนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นและพบขบวนการนำเข้ารถยนต์เก่าคลาสสิคอีกจำนวนหนึ่ง อยู่ระหว่างการดำเนินคดีและเรียกผู้นำเข้าแจ้งข้อกล่าวหา ดีเอสไอจะไม่ขอระบุชื่อผู้นำเข้าเพราะถูกฟ้องร้องมาแล้วหลายคดี ดังนั้นการดำเนินคดีจะไม่เน้นที่ผู้ครอบครอง แต่เน้นการตรวจสอบตามเอกสารรถยนต์ที่นำมาสำแดงการนำเข้า ทั้งนี้จากข้อมูลการตรวจสอบรถยนต์ทั้งหมดพบมีผู้นำเข้ารถมากถึง 400 ราย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของนายปกรณ์ ลัม หรือโดม ดารานักร้อง ได้ติดต่อ ขอนำรถยนต์ที่ดีเอสไออายัดไว้กลับไปดูแล หรือยัง พ.ต.ท. กรวัชร กล่าวว่า ได้รับการประสานจากทนายความของนายปกรณ์ ลัม เพื่อขอนำรถยนต์ลัมโบร์กินี กลับไปให้ผู้ครอบครองดูแลแล้ว คาดว่าจะเป็นช่วงสัปดาห์นี้ดารานักร้องคนดังกล่าวจะเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ

รายงานข่าวระบุว่า ดีเอสไอได้รับการประสานจากทีมทนายความของโดม ปกรณ์ ลัม จะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนในฐานะผู้เสียหาย เพื่อขอนำรถยนต์ลัมโบร์กินีกลับไปดูแล ในวัน ที่3กรกฎาคม เวลา10.00 น. ที่ดีเอสไอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดีเอสไอได้นำแผ่นชาร์จ ข้อมูลการนำเข้ารถของนักเรียนไทยและคนไทยที่ทำงานในต่างประเทศ ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศส่งให้ดีเอสไอตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่ปี 2550 มาแสดงในการแถลงข่าวครั้งนี้ โดยพบว่ามีจำนวน 794 คัน นำเข้าจากสหรัฐฯ 134 คัน อังกฤษ 421 คัน ญี่ปุ่น 80 คัน ออสเตรเลีย 53 คัน นิวซีแลนด์ 17 คัน สิงคโปร์ 12 คัน และประเทศอื่น ๆ โดยยี่ห้อรถยนต์ที่นิยมนำเข้าสูงสุดคือ เบนซ์ 188 คัน ปอร์เช่ 180 คัน บีเอ็มดับเบิลยู 48 คัน โรเวอร์มินิ 35 คัน เบนท์ลีย์ 25 คัน เฟอร์รารี 23 คัน มินิคูเปอร์ 19 คัน โรลสรอยด์ 18 คัน โฟคสวาเกน 15 คัน และจากัวร์ 11 คัน

 

ที่มา มติชนออนไลน์