รื้อคดีครูฝึกทหารรับจ้างนายทุนยกกำลังขู่ชาวบ้าน โยงฆ่ายกครัวกระบี่ พร้อมตามข่าวซุ้มมือปืน

เมื่อวันที่ 15 ก.ค. รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบช.ส.(ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล) พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) หัวหน้าชุดคลี่คลายคดีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แต่งตั้งได้แบ่งกำลังไปหาข่าวซุ้มมือปืนตามจังหวัดต่างๆ ทั้ง จ.ชุมพร จ.ระนอง จ.ตรัง จ.พังงา โดยเฉพาะที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ชุดต่างๆ ได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบหาเบาะแสกลุ่มมือปืนที่คาดว่าจะเข้ามารับงานนี้ โดยให้น้ำหนักไปที่กลุ่มคนมีสีนอกรีตและ อดีตคนมีสีนอกราชการ ซึ่งจากพฤติกรรมเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มกองกำลังรับจ้างเฝ้าสวนปาล์ม-สวนยาง ให้นายทุนใน จ.กระบี่ และ จ.พังงา เนื่องจากลักษณะกายแต่งกายของกลุ่มคนร้ายที่แต่งการคล้ายทหาร มีทั้งเสื้อเกราะ หมวกเหล็ก รองเท้าบู๊ท และอาวุธปืนยาวที่ใช้ นอกจากนี้พฤติกรรมการก่อเหตุและยุทธวิธีการเข้าตรวจค้นและเฝ้าตรึงพื้นที่ก็คล้ายกับผู้ที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้นำข้อมูลคดีเก่าเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธร จ.กระบี่ และทหารจาก กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 เข้าจับกุมตัวอดีตครูฝึกจากมณฑลทหารบกที่ 43 ค่ายเทพสตรีศรีสุนทร ต.กะปาง อ.ทุ่งสง นครศรีธรรมราช พร้อมอดีตทหารพรานรวม 16 คน ยึดของกลางอาวุธปืนลูกซองยาวและปืนพกสั้น จำนวน 19 กระบอก และกระสุนเกือบ 1,000 นัด

จากการสอบสวนทราบว่า คดีดังกล่าวกลุ่มคนร้ายได้รับว่าจ้างจากนายทุนรายใหญ่ใน จ.กระบี่ ให้นำกำลังเข้าปิดล้อมข่มขู่กลุ่มชาวบ้าน ที่เข้ามาทำกินภายในสวนปาล์มน้ำมัน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเคยมีบริษัทปาล์มน้ำมันแห่งหนึ่งเข้ามาเช่าที่ปลูกสวนปาล์ม จนหมดสัญญา ทางสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมจังหวัดกระบี่ (ส.ป.ก.) ประกาศได้เพิกถอนสิทธิ์ แต่สวนปาล์มยังอยู่ และสามารถเก็บเกี่ยวได้ จนทำให้มีชาวบ้านมายึดครอง แต่นายทุนรายนี้ก็ต้องการจะเข้ามาใช้พื้นที่ดังกล่าว จึงได้ว่าจ้างกลุ่มผู้ต้องหานำกำลังเข้ามาขับไล่ ก่อนที่จะถูกจับกุมดังกล่าว

วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า พล.ต.ต.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผบก.ปทส.ได้สั่งการให้พ.ต.อ.ศราณุ โสมทัต ผกก.5 บก.ปทส. นำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ภูเขาโนราห์ และภูเขาเหล็กไฟ ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ซึ่งบริษัทอ่าวลึกศิลาทองจำกัดเป็นผู้ได้รับสัมปทานทำโรงโม่หิน แต่ก็เป็นกรณีพิพาทของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน จนเป็นข้อสงสัยว่าอาจเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดเหตุคดีสังหารครอบครัวของนายวรยุทธ สันหลัง ที่เข้ามาเจรจากับชาวบ้านเพื่อให้หยุดคัดค้านการก่อสร้าง แต่ไม่สามารถทำได้เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่าผู้ตายอาจรับเงินค่าดำเนินการมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถตกลงกับชาวบ้านได้ จนส่งกลุ่มคนร้ายบุกมาทวงเงิน แต่เกิดผิดแผน บานปลายก่อนเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น

เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่าพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ โดยมีประกาศจากกรมศิลปากรให้เป็นพื้นที่แหล่งโบราณคดี เนื่องจากมีการค้นพบภาพเขียนสี กระดูกสัตว์ และเปลือกหอย จึงทำให้การก่อสร้างโรงโม่หินยังไม่สามารถทำได้ จากการตรวจสอบหลักฐานพบว่า มีการขายต่อสัมปทาน และยังไม่มีการทำงานต่อเพราะติดปัญหาหลายอย่าง และถูกต้านจากมวลชนในพื้นที่

 

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์