“อนุทิน” คาดวัคซีน SINOVAC ล็อตแรก 200,000 โดส ถึงไทย 24 ก.พ.นี้

“อนุทิน” คาดวัคซีน “ซิโนแวค” จากจีนถึงไทย 24 ก.พ.นี้ จำนวน 200,000 โดส เดินทางมาโดยสายการบินไทย พร้อมให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นผู้ทดสอบมาตรฐาน

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยว่าได้รับการยืนยันจากบริษัทซิโนแวค(SINOVAC) ประเทศจีนว่า วัคซีนโควิด-19 ที่จะจัดส่งมายังประเทศไทย จะผลิตเสร็จในวันที่ 20 ก.พ.นี้ จำนวน 200,000 โดสแรก พร้อมส่งออกจากโรงงานผลิตในเมืองปักกิ่ง เดินทางด้วยเที่ยวบินของสายการบินไทย  ซึ่งหากไม่ติดขัดเรื่องใด คาดว่าจะมาถึงไทยภายในวันที่ 24 ก.พ. 2564นี้

อย่างไรก็ตามเมื่อได้รับวัคซีนฯ มาแล้ว กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะเป็นผู้ทดสอบมาตรฐาน ประสิทธิภาพวัคซีนฯ (Lot Release) ว่าเป็นไปตามข้อมูลที่ขึ้นทะเบียนหรือไม่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงจะนำมาฉีดให้กับประชาชนได้ภายในเดือน ก.พ. นี้แน่นอน

นอกจากนี้ ในวันนี้ยังได้เชิญ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) พร้อมด้วยผู้อำนวยการกองยา มาหารือแล้วโดยได้รับคำยืนยันว่า เอกสารที่ได้รับจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีนฯ เพียงพอต่อการขึ้นทะเบียนในภาวะฉุกเฉิน มีมาตรฐานที่เชื่อถือได้

นายอนุทิน กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมควบคุมโรค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทำงานแบบคู่ขนานกันกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีน เตรียมพร้อมทั้งบุคลากร เครื่องมือในการตรวจมาตรฐานไว้ทั้งหมดหมดแล้ว เพื่อนำมาฉีดให้ประชาชนรวดเร็วที่สุด

Advertisment

“ต้องชี้แจงว่าไม่ได้ช้า ทุกอย่างอยู่ในไทม์ไลน์ที่เรากำหนดไว้ทุกประการ เราพยายามทำการฉีดให้เร็วที่สุดและจะฉีดทันทีที่กรมวิทย์ฯ ยืนยันว่าปลอดภัย” นายอนุทินกล่าว

นอกจากนี้นายอนุทินยังโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยยืนยันว่า วัคซีนซิโนแวค(SINOVAC) มาถึงไทย 24 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งก็มีประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันจำนวนมาก

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายอนุทินกล่าวว่า ภายในกุมภาพันธ์นี้ วัคซีนล็อตแรกจะมาถึงไทย และจะทยอยมาตามแผนที่วางไว้จนครบตามจำนวน เพื่อรองรับทั้งแผนงานปกติ และ แผนงานเร่งด่วนที่มีการปรับให้เข้ากับสถานการณ์การระบาด

พร้อมระบุว่า ปีนี้ ประเทศไทยจะมีวัคซีน 63 ล้านโดส ฉีดให้กับคนไทย ไม่น้อยกว่า 31 ล้านคน หรือ ร้อยละ70 ของประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ต้องฉีด ประมาณ 50 ล้านคน (ตัดประชาชนอายุต่ำกว่า 18 ปี และ สตรีตั้งครรภ์) และจะมีการจัดหาวัคซีนมาเพิ่มอีกจนครบตามจำนวนประชากรที่ต้องการฉีด

Advertisment