กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข เปิดแผนฉีดวัคซีนไฟเซอร์เด็กอายุ 12-18 ปี ทุกสังกัด 4.5 ล้านคน เดือน ต.ค.นี้ เร่งฉีดเข็ม 1 ให้ครบถ้วน เริ่ม 29 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด รวมถึงพิจารณาฉีดบุคลากร-ผู้ปกครองทั้งหมด
วันที่ 13 กันยายน 2564 ที่กระทรวงศึกษาธิการ มีการแถลงข่าวเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2/2564
โดยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ศธ.ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างใกล้ชิดและมีการถอดบทเรียนจากการจัดการเรียนการสอน 5 รูปแบบ หรือ 5 On ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางการเปิดภาคเรียนต่อไปให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
- ฟินแลนด์ระงับการให้วีซ่าแรงงานเก็บผลไม้ป่าทุกคนจากไทย
- เหล้าเบียร์ 5 แสนล้านสะเทือน สิงห์-ช้างอ่วม กฎหมายใหม่ห้ามโฆษณา
- ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ตรวจผลรางวัล งวด 16 มีนาคม 2567
ซึ่งจากการหารือร่วมกันระหว่าง ศธ. กับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) เบื้องต้นมีแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ได้แก่
1.แผนการฉีดวัคซีน Pfizer ให้กับนักเรียน
ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เป็นประธาน ได้อนุมัติในหลักการให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ทุกคน ทุกสังกัด กว่า 4.5 ล้านคน
ทั้งที่อยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียนพระปริยัติธรรม โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน กรุงเทพมหานคร ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 โดยจะฉีดให้แก่นักเรียน นักศึกษา ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จำนวน 29 จังหวัดก่อน
ในส่วนของ ศธ.ได้วางแผนการดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียน นักศึกษาในสังกัดทั้งของรัฐและเอกชน ที่มีอายุ 12-18 ปี ซึ่งการฉีดวัคซีนให้เด็กจะเป็นไปตามความสมัครใจ ที่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน
โดย ศธ.ได้กำหนดให้มีการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการฉีดวัคซีน และวิธีการปฏิบัติก่อนและหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งจะเริ่มสร้างความเข้าใจในสัปดาห์นี้ หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนของการสอบถามความยินยอมให้เด็กเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้กำหนดแบบฟอร์มยินยอมให้เด็กในปกครองฉีดวัคซีน และให้สถานศึกษานำส่งรายชื่อ และจำนวนนักเรียนที่ประสงค์จะฉีดวัคซีน เพื่อรวมรายชื่อทั้งในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ไว้ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด จากนั้นจะมีการประชุมเพื่อสอบทานสรุปข้อมูลนักเรียนอายุ 12-18 ปีกับสาธารณสุขจังหวัด เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีน
ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายว่าจะเริ่มการฉีดวัคซีนให้ได้ในเดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จำนวน 29 จังหวัดก่อน แต่ตั้งเป้าหมายให้นักเรียน นักศึกษาทุกคน ได้รับวัคซีน Pfizer เข็มที่ 1 อย่างครบถ้วน และจะเร่งดำเนินการฉีดให้เร็วและครอบคลุมที่สุด เพื่อรับการเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 ในเดือนพฤศจิกายนนี้
2.แผนการดำเนินโครงการโรงเรียน Sandbox Safety Zone in School (SSS)
เป็นมาตรการสำหรับโรงเรียนประจำ เช่น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และโรงเรียนเอกชนที่มีความพร้อม โดย ศธ.จะประสานกับ สธ.ในการลงพื้นที่ตรวจโรงเรียน ที่จะประสงค์เข้าโครงการว่าเป็นไปตามมาตรการที่วางไว้หรือไม่
ทั้งนี้การเป็นโรงเรียน SSS มีเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1.เป็นโรงเรียนประจำ 2.เป็นไปตามความสมัครใจและ 3.ผ่านการประเมินความพร้อม
โดยต้องแจ้งความประสงค์ผ่านต้นสังกัด มีการหารือร่วมกับผู้ปกครองและผ่านความเห็นชอบ จากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จัดให้มีสถานแยกกักตัวในโรงเรียน (School Isolation) จัดให้มี Safety Zone ในโรงเรียน มีการติดตามประเมินผลโดยทีมตรวจราชการของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข
รวมถึงมีการรายงานผล ผ่าน MOE COVID และ Thai Stop COVID Plus ซึ่งในขณะนี้ มีสถานศึกษาจำนวน 15,465 แห่ง ที่อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด โดยใน 12 จังหวัด มีสถานศึกษาจำนวน 1,687 แห่ง ที่อยู่ในเขตพื้นที่ 45 อำเภอปลอดเชื้อ แบ่งเป็น สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1,305 แห่ง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 111 แห่ง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 21 แห่ง และสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 250 แห่ง ซึ่ง ศธ.จะพิจารณาความพร้อมของสถานศึกษาสำหรับการเปิดภาคเรียนตามบริบทที่เหมาะสม
“ศธ.ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา เป็นอันดับแรก โดยได้ปรึกษาและประสานงานกับ สธ.ให้เข้ามาช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด และการฉีดวัคซีนให้เด็กจะเป็นไปตามความสมัครใจ ที่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน โดยกระทรวงจะเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการฉีดวัคซีน รวมถึงวิธีการปฏิบัติก่อนและหลังการฉีดวัคซีน สำหรับการฉีดวัคซีนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษานั้น ขณะนี้มีครูได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 70% โดยแผนการจัดสรรวัคซีนในเดือนตุลาคมนี้จะให้สถานศึกษาส่งรายชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยัง ไม่ได้รับวัคซีนมาด้วย เพื่อเร่งจัดสรรวัคซีนให้กลุ่มครู”
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การฉีดวัคซีนเราต้องคำนึงสองอย่างคือ 1.ประสิทธิภาพวัคซีน 2.คุณภาพวัคซีน เป็นที่ทราบกันดีว่าวัคซีนที่นำมาใช้ในประเทศไทยจะต้องผ่านการรับรอง หรืออนุญาตยินยอมในการขึ้นทะเบียนมาใช้กับประชาชน โดยผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
ขณะนี้มีวัคซีนที่ได้รับการยินยอมและ อย.อนุมัติให้ฉีดในเด็ก คือ วัคซีนไฟเซอร์ กับโมเดอร์นา รัฐบาลได้จัดหาวัคซีนไฟเซอร์มาให้เด็กและบุคลากรจำนวนกว่า 30 ล้านโดส ซึ่งจะเข้ามาในปลายเดือนกันยายนนี้หลังผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพจะนำฉีดให้เร็วที่สุด หากมีความพร้อม เช่น ผู้ปกครองยินยอม โรงเรียนนัดหมาย การจัดส่งต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ขอเรียนผู้ปครองว่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาครั้งนี้มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย สธ.จะดูแลในเรื่องนี้อย่างดี กับ ศธ.โดยการฉีดวัคซีนครั้งนี้จะฉีดตามความประสงค์ของผู้ปกครอง และใช้โรงเรียนเป็นฐานหลัก รวมถึงท่านรัฐมนตรีได้ขอให้สธ.ดูแลบุคลากรทั้งหมด ก็คงจะนำไปเป็นแผนพิจารณาเพื่อดำเนินการอีกครั้งหนึ่งรวมถึงการขยายขอบข่ายการฉีดแก่ผู้ปกครองของนักเรียนด้วย