วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล งานวิจัยจากจุฬาฯ เริ่มทดสอบทางคลินิกปี’66

วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล งานวิจัยจากจุฬา เริ่มทดสอบทางคลินิกปี 66

จุฬาฯ เผยความคืบหน้างานวิจัย “วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล” พบอาสาสมัครภูมิขึ้น-ผลข้างเคียงน้อย เตรียมทดสอบทางคลินิกปี’66 คาดอีก 4 ปีได้ใช้จริง ย้ำใช้รักษา ไม่ใช่ป้องกัน

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวผล “ความก้าวหน้าวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะรายบุคคล นวัตกรรมแห่งความหวังของสังคมไทย” โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ข้อมูลว่า ในปัจจุบันการให้ยารักษามะเร็ง มีแนวทางหลัก 3 วิธี คือ

  1. ยาเคมีบำบัด เป็นการรักษาที่ค่าใช้จ่ายไม่สูง มีประสิทธิภาพปานกลาง และอาจมีผลข้างเคียงที่มากได้
  2. ยามุ่งเป้า เป็นการให้ยารักษาที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์ของมะเร็ง มีประสิทธิภาพจำเพาะ เฉพาะในรายที่มีการกลายพันธุ์ตรงกับตัวยา อาการข้างเคียงมักจะไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับยาเคมีบำบัด และ
  3. ภูมิคุ้มกันบำบัด

ปัจจุบันมีทั้งการรักษาแบบการให้ยาแอนติบอดี และการใช้เซลล์บำบัด ซึ่งแนวทางนี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาโดยทั่วไปแล้ว มีประสิทธิภาพดี ไม่จำเพาะกับชนิดมะเร็ง และส่วนใหญ่ผลข้างเคียงน้อย แต่อาจมีผลข้างเคียงส่วนน้อยที่เกิดรุนแรงได้บางครั้ง

“โดยในการวิจัยและพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด มุ่งเน้นพัฒนาการรักษาใน 3 วิธีคือ เซลล์บำบัดมะเร็ง (CAR T-cells และ NK cells) วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล (therapeutic cancer neoantigen vaccine) และยาแอนติบอดีต้านมะเร็ง (ยาภูมิต้านมะเร็ง, immune checkpoint inhibitor)

ซึ่งภูมิคุ้มกันบำบัดทั้ง 3 วิธีนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน และสามารถใช้รักษาร่วมกัน และใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา เบื้องต้นในการศึกษาวิจัยวัคซีนมะเร็งเฉพาะบุคคลในมะเร็งไต และมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma) หรือมะเร็งเม็ดสี”

ด้าน นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงการรักษา ด้วยวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล มาตั้งแต่ปี 2560 จนถึงขั้นตอนทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1 ให้กับอาสาสมัครตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 นับเป็นการทดสอบทางคลินิกครั้งแรกในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การผลิตวัคซีนเฉพาะบุคคลนี้ ต้องใช้ข้อมูลการกลายพันธุ์ที่ตรวจพบในผู้ป่วยรายนั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์ของมะเร็ง เนื่องจากมะเร็งของผู้ป่วยแต่ละคนมีการกลายพันธุ์ส่วนใหญ่ที่ต่างกัน การผลิตวัคซีนจึงต้องทำทีละ 1 ราย เพื่อสร้างให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่จำเพาะและมีประสิทธิภาพไว้ต่อสู้กับโรคมะเร็ง

“ส่วนการให้วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล เริ่มต้นด้วยการนำชิ้นเนื้อมะเร็งจากผู้ป่วยมาถอดรหัสพันธุกรรมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ที่พบในชิ้นเนื้อมะเร็งเท่านั้น ซึ่งไม่พบในเซลล์ปกติของร่างกาย และนำข้อมูลการกลายพันธุ์มาผลิตเป็นชิ้นส่วนของโปรตีนของมะเร็งที่กลายพันธุ์ขนาดเล็ก ที่มีเพียงข้อมูลการกลายพันธุ์แต่ไม่สามารถก่อโรคได้ โดยไม่มีการฉีดเซลล์มะเร็งเข้าในร่างกายแต่อย่างใด

โดยผู้ป่วยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่จะต้องมารับวัคซีนจำนวน 7 ครั้ง แบ่งเป็น 5 ครั้งแรกภายใน 1 เดือน และเว้นระยะในการฉีดอีก 2 เข็มเพื่อกระตุ้นไป 1-2 เดือน หลังฉีดวัคซีนเม็ดเลือดขาวชนิด antigen presenting cells จะกินชิ้นส่วนโปรตีนกลายพันธุ์ที่ผลิตไว้ และกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ให้รู้จักการกลายพันธุ์ของมะเร็งมากขึ้นอย่างจำเพาะ”

นพ.ไตรรักษ์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นใน 1 ปีที่ผ่านมา การทดสอบวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลกับอาสาสมัครผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 4 ราย ซึ่งเป็นระยะที่ 4 (ระยะลุกลาม) แบ่งเป็น ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดสี 3 ราย และมะเร็งไต 1 ราย พบว่าการฉีดวัคซีนมีความปลอดภัย พบผลข้างเคียงน้อย เช่น มีอาการปวดตรงจุดที่ฉีดวัคซีน ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง

และหลังจากการฉีดวัคซีน 3 สัปดาห์ พบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยทั้ง 4 รายดีขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะต่อชิ้นส่วนการกลายพันธุ์ของผู้ป่วยมะเร็งรายนั้นๆ

“ดังนั้นวัคซีนนี้จึงเป็นวัคซีนรักษามะเร็ง โดยนำข้อมูลจากชิ้นเนื้อมะเร็งมาผลิตวัคซีน ไม่ใช่วัคซีนป้องกันมะเร็ง และในต่างประเทศ เช่น ที่ ม.ฮาร์วาร์ด ก็มีการศึกษาเช่นกัน และพบว่าการใช้วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลร่วมกับการให้ยาแอนติบอดีที่ช่วยเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้สูงขึ้นได้ นับว่าการแพทย์ของไทยก้าวทันต่างประเทศ ”

ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ตรวจติดตามการตอบสนองทางพยาธิวิทยาในผู้ป่วย 1 ราย โดย นพ.ไตรรักษ์กล่าวว่า เมื่อประเมินการกระจายตัวของเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ในชิ้นเนื้อมะเร็ง (T-cell tumor infiltration) พบถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

ซึ่งก่อนฉีดวัคซีน ตรวจพบเซลล์เม็ดเลือดขาว อยู่บริเวณรอบนอกก้อนมะเร็งเป็นหลัก และหลังได้รับวัคซีน พบว่าเม็ดเลือดขาวมีการเปลี่ยนแปลง ตอบสนองในทางบวก มีการกระจายตัวเข้าไปในชิ้นเนื้อมะเร็งมากขึ้น โดยปัจจุบันผู้ป่วยรายนี้อาการคงที่หลังได้รับการรักษาด้วยวัคซีนมะเร็ง และตรวจติดตามเป็นเวลา 9 เดือน

นพ.ไตรรักษ์กล่าวถึงเป้าหมายอีกว่า หากมีการพิสูจน์ประสิทธิภาพของวัคซีนได้ ซึ่งอาจจะเร็วหรือภายใน 4 ปีข้างหน้า ทีมวิจัยจะเดินหน้าเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะถัดไป โดยเริ่มเปิดให้บริการใน รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

เมื่องานวิจัยสามารถพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย จะดำเนินการขึ้นทะเบียน และในขณะเดียวกัน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง จะทำการวิจัยและพัฒนายาแอนติบอดีรักษามะเร็ง หรือยาภูมิต้านมะเร็งคู่ขนานด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการผลิตในโรงงานและจะเริ่มการทดสอบในสัตว์ทดลองภายในปีนี้

รวมไปถึงการเริ่มทดสอบทางคลินิกในผู้ป่วยมะเร็งในปี 2566 ซึ่งหากการพัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล และยาแอนติบอดีประสบผลสำเร็จ จะสามารถใช้การรักษาทั้ง 2 วิธีควบคู่กัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งให้ดีขึ้น และราคาที่จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้

นอกจากนี้ทาง รพ.จุฬาฯ สภากาชาดไทย ได้ดำเนินการสร้างห้องปลอดเชื้อพิเศษทั้งเพื่อการผลิตเซลล์ และวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลเพิ่มเติม ในอาคารบูรณาการวิจัยใหม่ร่วมกับอาคารรักษาพยาบาลที่เน้นการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างครบวงจร รวมกันเป็นศูนย์บูรณาการวิจัยและรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งคาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2567