ยันทำงานเต็มที่! ปลัดเกษตรฯโต้ผลโพลระบุกระทรวงฯควรปรับรมว.มากสุด

นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้าโพล สำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 1,250 คน ระหว่างวันที่ 19-20 กรกฎาคม 2560 เรื่อง “การปรับคณะรัฐมนตรี” พบว่า กระทรวงเกษตรฯ เป็นกระทรวงที่ควรมีการปรับรัฐมนตรีออกมากที่สุด กว่า 18.40% นั้น ในฐานะปลัดกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งรับสนองนโยบายของพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และข้าราชการประจำกระทรวง รวมกว่า 1 แสนคน รู้สึกแปลกใจกับผลโพลดังกล่าว เป็นอย่างมาก เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ข้าราชการทุกคนลงพื้นที่อย่างหนักอย่างหามรุ่งหามค่ำ วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไม่ได้หยุด เพื่อดำเนินการและตอบสนองนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกิดการปฏิรูปภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน

ขณะนี้นโยบายต่างๆก็เริ่มทยอยออกมาและเห็นผลสำเร็จแล้วในหลายเรื่อง อาทิ การเสริมสร้างความรู้และความเข้มแข็งของเกษตรกร ผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จำนวน 882 แห่ง ทั่วประเทศ การทำเกษตรแปลงใหญ่ที่ช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตต่อไร่ รวมถึงการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ไม่เหมาะสม ตามแผนที่เพื่อการเกษตรเชิงรุก (Agri-map) และการส่งเสริมปลูกพืชอินทรีย์ ตามยุทธศาสตร์ โดยทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงเกษตรฯ 20 ปี และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีทั้งสิ้น

“ปัจจุบันการดำเนินนโยบายของกระทรวงเกษตร เลิกใช้นโยบายแบบประชานิยมไปแล้ว เน้นดำเนินนโยบายเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวมากที่สุด ดังนั้นในช่วงนี้จึงอาจจะยังไม่เห็นผลการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรฯมากนัก แต่ก็ค่อยๆเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงแล้ว และเชื่อว่าภายใน 2-3 ปีจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในภาคการเกษตร และคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน ผลโพลดังกล่าวน่าจะเป็นการสำรวจที่คาดเคลื่อน เนื่องจากหากเจาะลึกไปยังการสำรวจข้อมูลของผลโพลดังกล่าวจะพบว่า เป็นการสำรวจเกษตรกรเพียง 187 คน หรือ เพียง 14.96% จากตัวอย่างทั้งหมด จึงเป็นการสำรวจข้อมูลที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่จากการสำรวจครั้งนี้กว่า 53.92% จากตัวอย่างทั้งหมดจะเป็นกลุ่มชนชั้นกลางที่มีรายได้ 10,000บาทต่อเดือนขึ้นไป รองลงมา 21.28% เป็นกลุ่มเจ้าของธุรกิจ อาชีพอิสระ และ 16.24% เป็นกลุ่มพ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ และคนว่างงาน”