วงการคราฟต์เบียร์อาจคุ้นเคยชื่อ “วิชิต ซ้ายเกล้า” เจ้าของร้าน Chit Beer ผู้บุกเบิกการต้มเบียร์ดื่มเองบนเกาะเกร็ด เปิดโรงเบียร์แบบถูกกฎหมาย พร่ำสอนผู้คนที่สนใจคราฟต์เบียร์ ด้วยความหวังอยากเห็นคนตัวเล็ก ๆ พึ่งพาตนเองได้ โดยใช้การ “ต้มเบียร์” เป็น “สาร” หรือ “หัวเชื้อ” ส่งต่อแนวคิด “ต้มเบียร์เปลี่ยนประเทศ”
ในเวลาเดียวกัน ยังเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และผู้ก่อตั้งเทคสตาร์ตอัพไทยยุคแรก ๆ
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส ไทย และหลายชาติ ออกแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องปล่อยตัวประกันในกาซา
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “วิชิต ซ้ายเกล้า” หลากหลายแง่มุม เบื้องหลังแนวความคิด และความตั้งใจ หลังเรียนจบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมจากอเมริกา จากวันที่คนไทยแทบไม่เคยมีใครได้ยินคำว่า “สตาร์ตอัพ”
ต้นทุนต่ำ ความพยายามสูง
“วิชิต” ย้อนเล่าถึงที่มาในวัยเด็กว่า เกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างลำบาก ทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวดีขึ้น คือการเรียน แต่ถ้าจะรอให้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ไม่รู้จะช้าไปไหม จึงตัดสินใจสมัครสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร (รุ่นที่ 31) จากโรงเรียนเตรียมทหาร สู่โรงเรียนนายร้อย จปร. (รุ่นที่ 42) และสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ
“ตัวเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ชอบฝัน ผมสอบเข้าได้ที่ 2 ของกองทัพบก จากพัทลุง พอจบเตรียมทหารก็เป็นที่หนึ่งของรุ่น ตอนเรียนมี อ.ท่านหนึ่งบอกว่า เวลาขึ้นโรงเรียนเหล่ามาแล้วจะมีทุนเมืองนอก 7 ทุน เรารู้แล้วว่าเราจะทำอะไรต่อ ตั้งแต่วันนั้นพอเขาปิดไฟนอนตอน 3 ทุ่มก็แอบขนหนังสือไปอ่านในห้องน้ำถึงตีหนึ่งทุกคืน พี่เป็นคนแบบนี้ เรารู้ว่าเราต้องการอะไร ทำเต็มที่”
ทำอย่างนี้ทุกวัน ในที่สุดก็สามารถสอบได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาตรี-โท
“ตอนแรกจะเลือกไปอังกฤษ แต่พอกลับมาคุยกับลุงที่บ้าน ลุงบอกอย่าไปเลยประเทศเล็ก อเมริกาใหญ่ หลากหลายกว่า ก็เลยเปลี่ยนใจไปอเมริกา จบ ป.ตรีวิศวกรรมไฟฟ้า โรงเรียนนายร้อยเวอร์จิเนีย (VMI) จริง ๆ อยากเข้า WestPoint คะแนนไม่ถึง ทำให้รู้สึกว่าเราต้องพยายามมากขึ้นอีก พออยู่เวอร์จิเนียก็ตั้งใจมาก หาเขาลูกใหม่ปีนได้แล้ว คิดว่าต้องเรียนจบที่หนึ่งของรุ่นที่นี่ เพื่อให้ชื่อสลักที่กำแพงโรงเรียน”
ผมเชื่อว่า ถ้าเราทำมากกว่าคนอื่น ทำนานกว่าคนอื่น “เบื้องบน” ไม่เคยปฏิเสธ โลกจะให้รางวัลกับคนทำงานอย่างหนัก และต่อเนื่อง
“พอจบโทแล้วก็ยังอยากเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เมืองนอกมากขึ้นไปอีก คิดถึงการเรียนต่อปริญญาเอก แต่ตามกำหนดที่ได้ทุนมาจะต้องกลับแล้ว จึงตัดสินใจเขียนจดหมายส่วนตัวหา ผบ.ทบ.ตรง ๆ เลย ไม่ได้รู้จักท่านส่วนตัว แต่เขียนไปขอตรง ๆ เลยว่าขอเรียนต่อเอกได้ไหมอีก 5 ปี แต่ไม่ขอทุน แค่ขอเวลา แล้วเขาก็อนุมัติเป็นคนแรก พี่ก็ไปถูพื้น เสิร์ฟอาหาร เป็นไลฟ์การ์ดสระว่ายน้ำโอลิมปิก และเป็นโปรแกรมเมอร์เขียนซอฟต์แวร์ให้นอร์เทลเน็ตเวิร์กของแคนาดา ทำงาน-โอทีได้เงินใช้จ่าย และก็เทคคลาส เพื่อเรียน ป.เอกไปด้วย”
ในช่วงท้ายของการเรียน ป.เอก ตั้งใจว่าจะออกจากงานมาทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จ แต่ยังไม่ทันขอลาออก บริษัทมีการปรับโครงสร้าง และเลย์ออฟ จึงได้เงินชดเชยแถมมาด้วย
“แทนที่จะเสียใจ กลับดีใจ เพราะมีเงินมากพอให้เรียนจบ และเหลือพอที่จะกลับไปตั้งต้นธุรกิจในไทยได้ด้วย พี่อยู่อเมริกา 11 ปี ไปตอนอายุ 19 ช่วงท้าย ๆ อยากกลับบ้านทุกวัน”
ปั้นสตาร์ตอัพบนเครื่องบิน
“วิชิต” เล่าว่า วันที่นั่งเครื่องบินกลับบ้าน 30 ชม. ไม่นอนเลย เขียนไดอารี่ตลอดเวลาว่า ฉันต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ได้ร่ำเรียนมา
“ถ้าอยู่เมืองไทยอาจมองไม่เห็น แต่เมื่อไปอยู่ข้างนอกแล้วมองเข้ามาจะเห็น ทำให้การกลับบ้านรอบสุดท้าย ได้ตังค์จากบริษัทที่่ทำงานด้วยมาก้อนหนึ่งก็ตั้งใจเลยว่ากลับไทยครั้งนี้ ตั้งใจจะกระโดดข้ามแม่น้ำเชี่ยวตั้งแต่วันแรกใช้ความรู้เชิงเทคนิคที่มีทำอะไรสักอย่าง ช่วงปี 2544-2547 มีคำว่า Creative Economy และนวัตกรรมเต็มไปหมด จึงน่าทำอะไรที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ”
บริษัทแรกที่ตั้งขึ้นมา ชื่อ บริษัท เอ็กซ์เซ้นส์ อินฟอร์เมชั่น ทำเกี่ยวกับเซ็นซิ่งฮาร์ดแวร์บนรถ และตัวซอฟต์แวร์ให้เพื่อควบคุมบริหารจัดการการขนส่งได้
“ผมได้ดูซีรีส์แนวสืบสวน มีฉากตำรวจหาหลักฐานรถขนอาหารทะเลแล้วต้องเข้าไปหาฐานข้อมูลขนส่งทางบก เหมือนวันนี้ถ้าอยากรู้รถทะเบียนอะไร ดูได้จาก GPS Tracking หนังเรื่องนั้นทำให้ได้ไอเดียว่าที่ไทยยังไม่มี พอกลับมาก็ไปเช่าออฟฟิศที่ตึกซอฟต์แวร์ปาร์ก เปิดบริษัท วันธรรมดาไปสอนหนังสือที่โรงเรียนนายร้อย เสาร์-อาทิตย์ มาทำบริษัท ทำอยู่ 3 ปี เงินเริ่มหมด สิ้นเดือนต้องจ่ายเงินให้ลูกน้อง ตัวเองเงินเดือนไม่มีไม่เป็นไร แต่ลูกน้อง 2-3 คน ต้องมี จำได้เลยว่าตอนนั้น ต้องไปใช้บริการ Easy Buy เพราะมีรายได้จากเงินเดือนทหาร 2 หมื่นกว่าบาทเท่านั้น”
วงเงินที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเงินด่วนในครั้งนั้น คือ 80,000 บาท
“ผมกรอกโปรไฟล์ว่า จบ ดร. และกำลังทำบริษัท ได้เงินมา 8 หมื่น รู้สึกเจ็บใจนะว่า ค่าตัวเราได้แค่นี้เหรอ ช่วงแรกลำบากมาก แต่ต้องทำตามสัญญากับรุ่นพี่ และเพื่อนที่มาลงเงินกับเรา เพราะบริษัทนี้มาจากไอเดียของผม โชคดีว่ามีสำนักงานวัตกรรม เข้ามาช่วยให้ได้ไปเสนอธุรกิจกับเอสซีจี ตอนนั้นมีระบบจัดการโลจิสติกส์ที่ดีอยู่แล้ว ผมเลยขอให้ลองใช้ระบบเราบางเส้นทาง เริ่มที่ภาคใต้ ซึ่งเส้นนั้นคนขับค่อนข้างเกเร ควบคุมพฤติกรรมไม่ได้ มีอุบัติเหตุบ่อย เรานำอุปกรณ์ไปติดตั้ง 200 ชุด ปรับปรุงการขนส่ง จากรถที่วิ่งได้เที่ยวเดียวต่อวันเป็น 2 เที่ยวต่อวัน และมีการนำระบบติดตามไปใช้บริหารฟลีตเรือ และรถของโรงงานปูนซีเมนต์ด้วย”
โซลูชั่น “ฟลีต เพอร์ฟอร์แมนซ์ อิมพรูฟ”ยังได้รางวัลรองชนะเลิศในโครงการเอสซีจีนวัตกรรมในปีนั้นด้วย “เอสซีจี โลจิสติกส์”จึงใช้โซลูชั่นนี้แทบทั้งหมด บริษัทจึงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากพนักงาน 4-5 คน เป็น 50 คน มียอดขายจากค่าบริการรายเดือนกว่า 120 ล้านบาท
ต่อยอดแตกบริษัทใหม่
“วิชิต” ไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขามีไอเดียว่า ทำไมไม่ทำซอฟต์แวร์ที่จับคู่ระหว่างคนอยากใช้รถ และคนมีรถ คอนเซ็ปต์เดียวกับแพลตฟอร์มเรียกรถทุกวันนี้
“พูดตอนนั้นเป็นเรื่องแปลก คนยังมองไม่ออก ผมอยากแก้โจทย์ที่ทำให้รถล้านคันขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียว ปี 2011-2012 จึงออกมาตั้งอีกบริษัท ชื่อ ดีเอ็กซ์ อินโนเวชั่น ตอนนั้นหน่วยงานด้านนวัตกรรมอยากให้มีคนพัฒนาโซลูชั่นโลจิสติกส์พอดี จึงเสนอโครงการเข้าไปได้มา 1 ล้านบาท จากค่าตัว 8 หมื่นบาท วันนี้มีคนให้มา 1 ล้านก็ดีใจ เราก็พาไปดู ฟลีตโซลูชั่น ว่าสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้งานได้อย่างไร ให้เห็นว่าเรามีศักยภาพในการเขียนโซลูชั่น
ผมต้องการขยายส่วนแบ่ง เพราะรู้ว่าในอนาคตรถทุกคันต้องติดจีพีเอส กลับมาทำบริษัทใหม่ทุนตั้งต้น 1.4 ล้าน ช่วงนั้นยังไม่มีคลาวด์ ต้องซื้อเซิร์ฟเวอร์ 2 แสน เหลือ 1.2 ล้าน กับคนอีก 4-5 คน”
ถ้าคิดแบบสตาร์ตอัพ ด้วยเงินทุนเท่านี้ บริษัทจะมีอายุแค่ 6 เดือน จึงต้องเร่งทำงานหลายส่วนพร้อมกัน
“พอขึ้นแขนขาแพลตฟอร์มได้ เราก็ระดมหารายชื่อบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ ได้มา 300 กว่ารายชื่อ แล้วส่งจดหมายเพื่อเสนอแนวคิดในการปฏิวัติวงการโลจิสติกส์ไทย เพื่อลดต้นทุน พร้อมแบบฟอร์มการสมัครสมาชิกแพลตฟอร์ม ดีเอ็กซ์เพรส มีคนกรอกส่งกลับมา 10 ราย แค่นั้นก็ดีใจมาก เพราะเกิน 3% จากนั้นก็ระดมสรรพกำลังควานรายชื่อเพิ่มเพื่อส่งไปอีก รอบนี้ตอบกลับมาจริง 40 กว่ารายเรารู้ว่าเรามีอายุ 6 เดือน ต้องรีบไปพิตชิ่งบริษัทที่คิดว่าเขาน่าจะซื้อไอเดียของเราแน่ ๆ คือ ซีอีโอ บริษัท จีซี เจเนอรัล อิเลคทรอนิค คอมเมิร์ซ ที่ทำเทคโนโลยีซัพพลายเชน ที่ทำ e-Ordering ให้ ปตท., เซเว่นฯ โลตัส มีเพย์เมนต์เกตเวย์เอง แต่ยังขาดโซลูชั่นแพลตฟอร์มแบบเรา”
และเขาก็ซื้อจริงๆ แต่มีโจทย์ว่าใน 3 ปี จะต้องเพิ่มจำนวนสมาชิกบนแพลตฟอร์มให้ได้ 1 หมื่นราย ซึ่งทำได้ในปี 2015 มีสมาชิก 1.2 หมื่นราย ถือเป็นงานที่สนุกมาก ทำให้เห็นว่าคนเห็นค่าในเครื่องมือเรา จากนั้นไปเจอผู้ใหญ่ใจดีในวงการการเงิน พรีเซนต์ไม่ถึง 5 นาทีเขาก็ซื้อแล้ว เลยแบ่งหุ้นให้เขา 25% ได้เงินมา 20 ล้าน จำได้ว่านั่งรถไปรับเช็คลงมากับน้องอีกคนบอกว่าถ้าอยู่ซิลิคอนวัลเลย์ ต้องบินเฟิรสต์คลาสไปรับเงินจากนิวยอร์กกลับซิลิคอนวัลเลย์ แต่วันนั้นเราถือเช็ค 20 ล้านนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมานั่งกินเบียร์แถวสนามเป้า”
ต้มเบียร์เปลี่ยนประเทศ
“วิชิต” พูดถึงแนวคิด “ต้มเบียร์เปลี่ยนประเทศ” ว่าไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมาย หรือเปิดเสรีสุรา แต่เป็นการส่ง “แมสเสจ” ที่ใหญ่กว่า คือเสรีภาพของมนุษย์ที่จะคิด และทำเพื่อตัวเอง
“ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย พื้นฐานคนต้องเชื่อในตน คิดด้วยตัวเอง และเมื่อประชาชนตระหนักว่าการคิดของตนเพื่อตนมีพลัง มันก็จะเปลี่ยนสังคมได้ ช่วยปลดล็อก และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในสังคมได้”
ที่เลือก “เบียร์” มาใช้ในการสื่อสาร เพราะเป็นสิ่งที่ชวนตั้งคำถามระหว่างสิ่งมึนเมา ผิดกฎหมาย กับความคิดง่าย ๆ “แค่ต้มเบียร์กินเอง ทำไมจะทำไม่ได้”
“จริง ๆ การต้มเบียร์เกิดจากความเหงา หลังจากทำบริษัทสตาร์ตอัพของตัวเองมาได้สักพัก แล้วมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการถือหุ้น และการบริหาร เริ่มมีเวลาว่างมาก สักปี 2554 ก็ไปเช่าบ้านบนเกาะเกร็ด ลองซื้ออุปกรณ์มาต้มดื่มเองและแจกจ่ายให้คนที่รู้จัก ปรากฏว่าเขาชอบ ก็มีกำลังใจ และต้มเรื่อยมา กระทั่งมีคนมาขอเรียนด้วย เกิดการรวมกลุ่ม และขยายตัวไปเรื่อย”
ในปี 2557 โดนจับในข้อหาต้มเบียร์เถื่อน แล้วมีเพื่อนชวนไปเที่ยวเยอรมนี พาไปดูโรงต้มเบียร์ขนาดเล็ก คิดว่าน่าจะทำแบบเดียวกันในไทยได้ จึงพยายามยื่นขอใบอนุญาตเพื่อตั้งโรงเบียร์ขนาดเล็กที่กฎหมายยังคลุมเครือ
“ช่วงที่ยื่นขอใบอนุญาตนั้นก็ยังโดนจับอยู่ 6-7 ครั้ง ในข้อหาเดิม แต่ไม่ถอดใจแล้ว เพราะวิธีคิดเปลี่ยน เป็นการต้มเบียร์เพื่อสื่อสารว่า เราทำกินเองที่บ้านได้ การต้มเบียร์ดื่มเอง คือการพึ่งพาตนเองอย่างหนึ่ง ลองนึกดูว่าทุกวันนี้เวลามีเรื่องเดือดร้อน เรามักวิ่งไปขอให้คนอื่นช่วย ขอให้รัฐช่วย หวังพึ่งแต่คนอื่น ทำให้เกิดระบบที่ให้อำนาจกับคนบางกลุ่มมากเกินไป ผมอยากทำอะไรสักอย่างที่ลดอำนาจคนได้”
การต้มเบียร์จึงเป็นการเปลี่ยนวิธีคิดของคน ให้ตระหนักในตน ลดการพึ่งพาคนอื่น ถ้าคนไทยพึ่งพาตัวเองได้ ประเทศก็เปลี่ยนแล้ว