“กระทิง” ขวิดทะลวงท่อ จับบิ๊กเนมลงขัน “500 TukTuks 2”

ยังคงลุยหนุนวงการสตาร์ตอัพต่อเนื่องสำหรับ “กระทิง :เรืองโรจน์ พูนผล” ในบทบาทของผู้จัดการกองทุน “500 TukTuks” ที่ตั้ง 3 ปี ลงเงินใน 50 สตาร์ตอัพไปแล้ว 400 ล้านบาท มาวันนี้ดึง Big Corp พี่ใหญ่ในวงการธุรกิจบ้านเรา อาทิ กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่ม TCP (กระทิงแดง) สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง มาลงขันตั้ง “500 TukTuks กอง 2” กองทุนใหม่ใหญ่กว่าเดิม แถมไฮโซด้วยการจดทะเบียนกองทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สหรัฐอเมริกา (SEC) อีกต่างหาก “ประชาชาติธุรกิจ” พาคุยอีกครั้งถึงก้าวสำคัญ

Q : กองทุนแรกสำเร็จมาก

เราลงทุนสตาร์ตอัพไป 50 รายมีไม่รอดแค่ 1 ราย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่สตาร์ตอัพไปไม่รอดถึง 44% แถมยังมีถึง 47% ที่สามารถระดมทุนเพิ่มได้ รวมมูลค่ากว่า 7 พันล้านบาท และยังสร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมได้กว่า 1 หมื่นตำแหน่ง และปีนี้จะมีสตาร์ตอัพที่ปิดดีล M&A ด้วยมูลค่าเกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ แล้วยังมีอีก 5 สตาร์ตอัพที่มีมูลค่าบริษัทเกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว

Q : กองทุน 1 กับ 2 ต่างกัน

ตอนนี้เงินกองทุนกองแรกใช้ไปราว 40-50% แต่เราตั้งกอง 2 ที่จดทะเบียนใน SEC เพื่อความสบายใจของนักลงทุน จากนี้เงินในกองทุนกองแรกก็จะใช้สำหรับลงทุนซ้ำในสตาร์ตอัพที่ได้ทุนไปแล้ว ซึ่งการลงทุนในกองแรกยังเป็นช่วงยุคที่สตาร์ตอัพเป็น copycat นำโมเดลจากประเทศอื่นมาใช้ แต่กอง 2 จะขยับไปสู่ deep tech และ digital disruptive คือจะมองหาโมเดลที่แตกต่างและสามารถตอบโจทย์ประเทศได้

เงินทุนก้อนใหญ่ขึ้น แต่บอกตัวเลขไม่ได้ตามกฎ SEC และขยายไปประเทศ CLMV ดึงพันธมิตรระดับโลกมามากขึ้น

ในอาเซียนมีเงินไหลเข้ามาในสตาร์ตอัพสวนกระแสทั่วโลกที่ลดลง ทั้งยังเพิ่มอย่างก้าวกระโดดทุกเซ็กเตอร์ คือ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ ปี 2014 1.6 พันล้านในปี 2015 และ 2.6 พันล้านเหรียญในปี 2016 ทั้งคาดการณ์ว่าในปี 2025 มูลค่าเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตในอาเซียนไปถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โตขึ้น 6.5 เท่า ออนไลน์มีเดียจะโตขึ้น 5 เท่า ออนไลน์แทรเวลจะโต 4 เท่า อีคอมเมิร์ซจะโตขึ้น 16 เท่า

ของไทยก็เยอะเงินลงทุนโตขึ้น 148 เท่าในเวลา 5-6 ปี ล่าสุดอยู่ราว 280 ล้านเหรียญ แต่ปัญหาคือเกิดคอขวด ในระดับซีรีส์ A คือการระดมทุนที่1 ล้านเหรียญขึ้นไปจะไม่มี Deep Tech ก็ไม่มี ฉะนั้นถ้าจะทำให้สตาร์ตอัพไทยเติบโตได้จะต้องทะลวงคอขวดนี้ให้ได้

ดังนั้นเป้าหมายของกอง 2 คือจะทะลวงท่อด้วยการลงทุนใน 150สตาร์ตอัพ เพราะ 10 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทยคือ ทศวรรษที่สูญเปล่า แต่ต่อไปเราจะพยายามไม่ให้สูญเปล่า ด้วยการสร้างนักรบพันธุ์ใหม่ เราดึงทั้งสตาร์ตอัพและ Big Corp มาจับมือกันแล้ว เชื่อว่าจะทำให้อีก 10 ปีข้างหน้าจะเห็นดิจิทัลทรานส์ฟอร์มของประเทศที่ดี

Q : จะดันให้เกิดยูนิคอร์นให้ได้

ใช่ สตาร์ตอัพระดับพันล้านเหรียญสหรัฐ (ยูนิคอร์น) ผมยังคาดหวัง และถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องทะลวง เป็นกระทิงที่ขวิดทุกอุปสรรคให้เกิดยูนิคอร์นไทยให้ได้ เพราะนี่คือประเทศที่อยากให้ลูกหลานอยู่ต่อไป ที่ผ่านมาเราเดินช้าไปมาก

แม้จะเห็นความพยายามของรัฐบาลที่จะผลักดัน ซึ่งเท่าที่เห็น รัฐไม่ได้มีปัญหาในแง่การออกนโยบาย แต่พอนำลงมาปฏิบัติด้วยระบบราชการไทยก็คือจบ และยังมีอีกหลายปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข อย่างเรื่อง talent ที่ระบบการศึกษาไทยยังสร้างบุคลากรที่มีความสามารถไม่เท่าการเติบโต ก็จำเป็นต้องดึงคนเก่งเข้ามา แต่ไทยก็เข้ามายาก แค่วีซ่าก็ขั้นตอนเยอะมาก แม้จะมีสมาร์ทวีซ่า แต่ยังต้องติดขัดกับระบบราชการ ขณะที่ในสิงคโปร์ทุกอย่างคือวันเดียวจบ กลายเป็นประเทศที่ระบบนิเวศเอื้อต่อสตาร์ตอัพมากที่สุดในโลก

ก็ต้องเร่งกดดันให้ปฏิรูปการศึกษาเพื่อผลิต talent ขึ้นมาให้ได้ ตอนแรกคิดว่า แค่ไปทุบกำแพงให้ทะลุก็พอ แต่ปรากฏวงการศึกษาปัญหาใหญ่เป็นยอดเขาเอเวอเรสต์ แต่ก็ต้องลุย สตาร์ตอัพก็ต้องเร่งผลักดันให้เกิดสตาร์ตอัพระดับ 100 ล้านเหรียญสหรัฐให้มาก ๆ เพราะจะช่วยดึงดูดให้กองทุนขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนในสตาร์ตอัพมากขึ้น ที่ผ่านมา สตาร์ตอัพไทยไม่มีใครเชื่อว่าทำได้ จะถูก discount rate อยู่เสมอ ในสายตาของนักลงทุน ทั้ง ๆ ที่เราก็มีศักยภาพ

Q : ยุคนี้ระดมทุนผ่าน ICO ได้แล้ว

ใช่ แต่เชื่อว่าใน 3 ปีข้างหน้า ICO จะยังไม่ดิสรัปต์กองทุน แต่จะเข้ามาเสริมมากกว่า

Q : สตาร์ตอัพจะถูกดิสรัปต์

ก็จะถูกสตาร์ตอัพนี่แหละดิสรัปต์ เป็นวงจรไปเรื่อย ๆ เมื่อไรที่สตาร์ตอัพย่อหย่อนและประมาทก็จะเปิดช่องให้ถูกดิสรัปต์ได้ทันที นักลงทุนก็เหมือนกัน ต้องมองเห็นแนวโน้มอนาคตให้ชัด ตอนนี้ที่ห่วงก็ห่วงประเทศไทยมากกว่าที่จะต้อง move ให้เร็วกว่านี้ถึงจะรอด