มองอนาคตจากการวิเคราะห์ ของ Ray Kurzweil

Ray Kurzweil speaks on "Singularity" during the RAS Conference 2007 in San Francisco, 07 February 2007. Kurzweil was the principal developer of the first CCD flat-bed scanner, the first omni-front optical character recognition, the first print-to-speech reading machine for the blind, the first text-to-speech synthesizer, the first music synthesizer capable of recreating the grand piano and other orchestral instruments and the first commercially marketed large-vocabulary speech recognition. He has received thirteen honorary Doctorates and Honors from three US presidents. AFP PHOTO/GABRIEL BOUYS (Photo by GABRIEL BOUYS / AFP)

ผมได้พบวิดีโอตัวหนึ่งชื่อ Top 20 predictions from Kurzweil-Future Technologies เป็นการวิเคราะห์เทคโนโลยีในอนาคตของ Ray Kurzweil นักอนาคตศาสตร์ (futurist) น่าสนใจมาก

ตัวเขาเองเคยวิเคราะห์ว่า ในปีนี้ 2019 สิ่งที่จะมาคือ microcomputer ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงที่มือถือรวดเร็วขึ้นมากจนกลายเป็นเหมือนทุกคนมีคอมพิวเตอร์ของตนเอง แต่ที่น่าสนใจ คือเขาวิเคราะห์ต่อไปเกี่ยวกับ internet access ในปี 2020 ที่อินเทอร์เน็ตจะเข้าถึงในทุกที่

พ.ค.ที่ผ่านมา สเปซเอ็กซ์ (SpaceX) เปิดโครงการ Starlink ที่ทำให้ทุกคนใช้อินเทอร์เน็ตได้ทั่วโลก ด้วยการปล่อยดาวเทียมแบบ Low-Orbit 60 ดวง ซึ่งตามแผนต้องปล่อยถึง 12,000 ดวง

นั่นหมายถึงจะมีโครงข่ายดาวเทียมห่อทั้งโลกไว้ โครงการ Starlink ของ Elon Musk จึงน่าสนใจและสอดคล้องกับสิ่งที่ Ray Kurzweil วิเคราะห์ไว้

เขายังวิเคราะห์ต่อว่า ในปี 2022 ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ robot จะใกล้ชิดกันมากขึ้น ในปี 2024 รถยนต์ไร้คนขับจะวิ่งกันเป็นเรื่องปกติ และปี 2025 พูดถึงการ implants หรือการฝังหุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์เข้าไปในร่างกายมนุษย์

ในปี 2029 AI มีบทบาทและเก่งขึ้นมาก ผมดูเส้นทางการพัฒนาเทคโนโลยี แบ่งเป็นสาย AI ของ Google ก็จะเก่งขึ้น หรืออีกสายคือ robotics บริษัทที่ผลิตหุ่นยนต์ที่ทรงตัวได้เหมือนมนุษย์ เมื่อทั้งสองมารวมกันเป็นเรื่อง robotic people การผลิตหุ่นยนต์ให้ออกมาเหมือนคน ซึ่งเขาวิเคราะห์ว่าจะมีในปี 2038

ก่อนหน้านั้น 1 ปี ในปี 2037 เป็นเรื่อง The concept of human brain สมองมนุษย์โดนแคร็กได้ เราจะเข้าไปดูข้อมูลในสมองได้ นั่นหมายถึงการดาวน์โหลดข้อมูลในสมองทั้งหมดลงมาจัดการเก็บไว้ภายนอกได้

ปี 2038 เป็นยุคที่เทคโนโลยีจะสร้างหุ่นยนต์ให้เหมือนมนุษย์มาก แนวคิดนี้สอดคล้องกับหนังเรื่อง Altered Carbon ยุคที่มนุษย์ดาวน์โหลดข้อมูลสมองมาไว้ในชิปเล็ก ๆ และฝังไว้ตรงต้นคอ แล้วนำไปใส่ไว้ในร่างกาย ซึ่งคือหุ่นยนต์ เข้าไปใกล้อีกยุคหนึ่ง ประมาณปี 2043 ที่เรียกว่า formlessness

ประเด็นที่ผมสนใจมาก คือ ในปี 2042 หรืออีก 23 ปีข้างหน้า เราจะเข้าสู่ยุค immortality มนุษย์จะเป็นอมตะในเชิงของความไม่มีโรคภัย

จากยุคก่อนหน้าพูดถึงเรื่อง na-norobots ในปี 2032 ที่หุ่นยนต์จะฝังเข้ามาในร่างกายและจะจัดการกับโรคต่าง ๆ เป็นการรักษาจากหุ่นยนต์ด้วยเทคโนโลยีนาโนที่เล็กลงมาก เมื่อมนุษย์ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บบวกกับอาจมีการปรับยีนต่าง ๆ เรื่องคนเป็นอมตะจะเกิดได้ง่ายมากทีเดียว

ในปี 2043 จะเข้าสู่ยุค formlessness คือไม่มีร่างกายอีกต่อไป แค่ดาวน์โหลดสมองไว้ในคอมพิวเตอร์ มีชีวิตอยู่ในโลกคอมพิวเตอร์เหมือนหลับตาอยู่ในความฝัน แต่เป็นความฝันที่ไม่สิ้นสุดเพราะร่างกายไม่มีแล้ว หรือร่างกายอาจเสียบปลั๊กอยู่ที่ไหนสักแห่ง มีแต่จิต อารมณ์เหมือนเรื่อง matrix ก็มีความเป็นไปได้

เมื่อถึงยุคที่ AI เก่งมาก พัฒนาตนเองไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีมนุษย์มาเกี่ยวข้อง เป็นยุค technological singularity คือปี 2079-2099 จะทำให้อัตราการเร่งของนวัตกรรมทะยานขึ้นเร็วกว่าเดิมมาก

ถ้าเราอยู่ถึงอีกสัก 25 ปี ก็อาจอยู่แบบเป็นอมตะได้ ซึ่งเริ่มมองเห็นแล้ว เช่น ปัจจุบันคนที่อวัยวะบางส่วนพิการก็ทำอวัยวะขึ้นมาใหม่ได้

จะเห็นว่าเทคโนโลยีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีชีวภาพ รอดูกันต่อไปครับ มนุษย์เราจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นกับตัวเราเองทั้งนั้นครับ