พร้อมสเกลสู่ 100 ล้าน “เจ เวนเจอร์ส” ต่อยอด JFin Coin

สัมภาษณ์พิเศษ

เจ เวนเจอร์ส (JVC) เป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทย่อยของ บมจ.เจมาร์ทที่ผลักดันให้เกิด “JFin Coin” การระดมทุนด้วย ICO (Initial Coin Offering) มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท “ประชาชาติธุรกิจ” อัพเดตธุรกิจกับ “ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หลังปักธงให้ปีนี้คือจุดพลิกจากรายได้ปีละสิบกว่าล้าน มาสู่เป้ารายได้ปีนี้ 100 ล้านบาท และกำไรเป็นปีแรก

Q : จะเริ่มสเกล

ที่ผ่านมาถือเป็นปีแห่งการสร้างก็จะเห็นแต่ค่าใช้จ่าย การลงทุน แต่ปีนี้จะเห็นการนำสิ่งที่พัฒนาแล้วไปทำให้เกิดผลอย่างแพลตฟอร์ม “ป๋า” Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) ที่เปิดตัวไปเมื่อ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ตอนนี้มีผู้ดาวน์โหลดใช้งาน 1 แสนคน สมัครขอสินเชื่อแล้ว 26,000 คน อนุมัติไปแล้ว 491,070 บาท ก็กำลังจะหาพาร์ตเนอร์เพิ่มในการปล่อยกู้ และยังมีอีกเป็นสิบโปรเจ็กต์ที่พัฒนาอยู่

โดยจะอยู่บน 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ 1.ฟินเทคแพลตฟอร์ม อย่างการปล่อยกู้ 2.Tokenomics การนำเหรียญโทเคนมาใช้ เอาบล็อกเชนมาใช้ และ 3. O2O ออนไลน์ทูออฟไลน์ นี่คือ 3 แพลตฟอร์มหลักที่จะสร้างไปอีก 2-3 ปี

เร็ว ๆ นี้ก็จะมี “บล็อกเชน AGM” (บล็อกเชนสำหรับการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ) ใช้กลไกบล็อกเชนยืนยันตัวตน ซึ่งเจมาร์ทจะใช้ เม.ย.นี้

แรก ๆ อาจจะเห็นใช้ในอีโคซิสเต็มของเจมาร์ท แต่เป้าหมายทุกโปรดักต์เพื่อจะนำไปสเกลอัพนอกเครืออยู่แล้ว

Q : JFIN ราคาร่วงมีผลกระทบ

ก็มีผลกระทบอยู่แล้ว แต่เราก็พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ระดมทุนมาได้ เงินไม่ได้ไปไหน ได้เอามาใช้ประโยชน์จริง ๆ และนี่ก็เป็นข้อดีที่บริษัทแม่เราอยู่ใน SET ที่จะมีผู้ตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เงินก็เหลืออยู่ราว 300 ล้านบาท ที่ใช้ไปร้อยกว่าล้านบาทก็เป็นการทำระบบแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้น

แต่ในด้านของนักลงทุนที่คาดหวังว่า ราคาเหรียญจะขึ้น-ลงก็ต้องอาศัยกลไกดีมานด์ซัพพลายของเหรียญ ซึ่งต้องใช้เวลาในการสร้าง ตอนนี้ก็พยายามสร้างอยู่ไม่ได้หยุด 3 แพลตฟอร์มที่โฟกัสถ้าสามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้งหมดก็จะเกิดดีมานด์ซัพพลายได้จริง

ตอนที่ออก ICO เป็นจังหวะที่คิดว่า นี่เป็นทางเลือกในการระดมทุน และโชคดีที่เราได้เงินมา ทำได้ ซึ่งถ้าเราสเกลได้และทำกำไรได้จริงก็คงจะเข้า IPO ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ในระหว่างนี้อาจจะต้องมีการระดมทุนเพิ่ม เพราะแบงก์ใช้เป็นหมื่นล้านกว่าจะสร้างระบบ ฉะนั้น เงินที่จะใช้ลงทุนทั้งหมดเพื่อให้อิมแพ็กต์กับกลุ่มบริษัทเจมาร์ทยังน้อยมาก

เราก็ไม่ได้รีบร้อนในการหา แต่น่าจะเป็นในรูปแบบของกองทุน ไพรเวตอินเวสต์เมนต์มากกว่า เพราะระบบที่สร้างยังมีอีกเยอะ อาทิ แพลตฟอร์ม O2O ที่ยังต้องทำเพิ่ม แต่ใน White paper ที่ ICO ไม่ได้ระบุถึงตรงนี้ก็จะเอาไปใช้ไม่ได้ แต่ยังไม่ได้ประเมินว่าจะต้องระดมทุนเพิ่มอีกเท่าไร อาจจะ 300-500 ล้านบาท

Q : เกณฑ์ SET เป็นอุปสรรคฟินเทค

การเป็นหน่วยงานสตาร์ตอัพที่อยู่ในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) มองเป็นความท้าทายมากกว่าที่จะต้องถูกกำกับดูแล ต้องแบกความคาดหวังของผู้ถือหุ้น ก็ถือว่าเครียด แต่สตาร์ตอัพจะสเกลได้ต้องอาศัยอีโคซิสเต็มของบริษัทที่ใหญ่กว่า เมื่อเราอยู่ในเจมาร์ทจึงสามารถสเกลได้เร็วกว่าสตาร์ตอัพทั่วไป แม้ว่าสตาร์ตอัพทั่วไปจะ failed ได้ในช่วงแรก แต่ JVC failed ไม่ได้ก็ต้องเครียดแน่นอนที่จะต้องตอบคำถาม ก็ต้องอย่าหยุดทำ ถ้าผ่านจุดนี้เข้าสู่เฟส 2 ที่ต้องสเกลอัพก็จะไปได้เร็วกว่า ซึ่งนี่ก็ใกล้ ๆ จะเข้าเฟส 2 แล้ว

Q : อุปสรรคที่ผ่านมา

ความเร็ว เพราะไอเดียไม่ได้ยาก อยู่ที่ใครจะทำได้เร็วกว่าให้ทันกับเทคโนโลยีที่ทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เทคโนโลยีหมุนเร็วมาก คือความท้าทายว่า เวลาที่คิดจินตนาการจะต้องเปลี่ยนเร็ว สร้างอินฟราสตรักเจอร์ให้เร็ว เพื่อเอาเทคโนโลยีมาอะดอปต์ใช้แล้วให้เกิดผล ที่สำคัญคือเราไม่รู้ได้ล่วงหน้าเลยว่า แล้วเทคโนโลยีมันจะเปลี่ยนไปสู่อะไร นี่คือความยาก ไม่เหมือนยุคก่อน

Q : IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อไร

ตามเกณฑ์คือต้องกำไร 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งตอนนี้ JVC ติดลบเป็นเรื่องปกติเพราะต้องเร่งลงทุนเพื่อสร้างนวัตกรรม เท่าที่ประเมินน่าจะเริ่มกำไรได้ในปีหน้า ในใจก็คิดว่าจะเข้าตลาดได้ปี 2566 ไปแล้ว สภาพเศรษฐกิจที่หนักมากในตอนนี้ คนอาจจะใช้จ่ายน้อยลง แต่ก็จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่ออนไลน์ ยอดออนไลน์มันพุ่ง JVC ทำหน้าที่เป็นโมเดลออนไลน์ในเจมาร์ทก็พยายามสิ่งใหม่เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคตรงนี้ ถ้ามันใช่อย่างที่ผมคิด ทรานแซ็กชั่นต่าง ๆ จะวิ่งเข้ามามากขึ้น

โจทย์ของผมคือ สร้างระบบทันไหม ถ้าทำไม่ทันเงินก็จะไม่มา ผมถึงบอกว่า สิ่งที่ท้าทายคือเวลากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ถ้าบี้ 2 ตัวนี้ได้กระแสน่าจะมาทางผมอย่างการใช้งานบล็อกเชน คนก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น แยกออกระหว่างบล็อกเชนกับเหรียญต่าง ๆ เริ่มมองหาหนทางในการนำมาใช้เพื่อลดระยะเวลาในการทำงานมากขึ้น

ผมก็รอให้ผู้บริหารในประเทศนี้อยากนำบล็อกเชนมาใช้ พร้อมจะลงทุน เมื่อเกิดแล้วก็จะเห็นความสำคัญของบล็อกเชนที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่จะชวนกันมาอยู่เป็นเน็ตเวิร์ก เพราะทำคนเดียวมันไม่คุ้ม แล้วคุณต้องมีเหรียญเป็นโทเคนที่จะใช้ในการแลกเปลี่ยน คุณจะสร้างใหม่ก็ได้ แต่ JFin มีพร้อมอยู่แล้วนะ มีบล็อกเชนพร้อมรออยู่แล้ว