ทรูมันนี่ แนะลงทุน “ลดหย่อนภาษี ” โค้งสุดท้ายผ่าน อีวอลเล็ท

“ทรูมันนี่” แนะลงทุน“ลดหย่อนภาษี “โค้งสุดท้ายผ่าน “อีวอลเล็ท” เพื่อลดหย่อนภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2563 ย้ำสังคมไร้เงินสด

ทรูมันนี่ (TrueMoney) บริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ ของบริษัท Ascend Money แนะนำ หลัก 4 ช้อ ในการพิจารณาลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet เพื่อลดหย่อนภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2563 ดังนี้

1.อ่านให้เยอะนโยบายการลงทุนของกองทุนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะลงทุนในธุรกิจประเภทไหน เน้นหุ้นเติบโต หุ้นปันผล หุ้นขนาดใหญ่ หรืออ้างอิงตามดัชนี SET50 หาอ่านข้อมูลให้มาก ๆ จาก “หนังสือชี้ชวน” ซึ่งมีข้อมูลอยู่ในเว็บไซต์ของแต่ละกองทุนก่อนตัดสินใจ

2.เสี่ยงน้อย เสี่ยงมาก รับได้แค่ไหน แน่นอนว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง เราสามารถรับความเสี่ยงได้มากก็สามารถลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงมาก แต่หากเรารับความเสี่ยงได้ค่อนข้างจำกัด ก็ต้องหันมาพิจารณากองทุนที่ลงทุนในหุ้นไม่เกิน 70%

3.มีเงินปันผลให้ด้วยหรือไม่ สำหรับคนมองการณ์ไกล นอกจากจะซื้อไว้ใช้ลดหย่อนภาษีได้แล้ว ถ้าหากกองทุนนั้นมีการจ่ายเงินปันผลด้วยก็เหมือนกับการได้กำไรสองเด้ง

และ 4.เช็คประวัติการดำเนินงานกองทุนที่เราสนใจซื้อ ว่ามีผลการดำเนินงานย้อนหลังในรอบ 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี เป็นอย่างไร ถ้าเป็นกองทุนที่จ่ายปันผลก็ต้องดูว่าจ่ายปันผลสม่ำเสมอหรือไม่ เพราะผลการดำเนินงานในอดีตและปัจจุบัน ไม่ได้การันตีอนาคต

“ทรูมันนี่”ยังอ้างอิงข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุ ณ เดือนกันยายน 2563 คนไทยมีเงินฝากเฉลี่ยต่อบัญชีเพียง 4,754 บาท สวนทางความเป็นจริงที่ว่า “เงินออม” เป็นสิ่งที่จำเป็นในทุกช่วงของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงเริ่มต้นทำงานในวัย 24-25 ปี ที่หลายคนต้องการเก็บเงินเพื่อรถคันแรก หรือขยับมาช่วงวัย 28-35 ปี ที่อยากเก็บเงินไว้สร้างครอบครัว บ้านหลังแรก และเป็นทุนการศึกษาให้ลูก

หรือแม้แต่ช่วงเกษียณในวัย 60 ปี สำหรับผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีที่ปัจจุบันมีอยู่ 11-12 ล้านราย และกลุ่มผู้เสียภาษีหน้าใหม่อย่างวัยเริ่มต้นทำงาน ถึงเวลาแล้วที่ควรเริ่มลงมือวางแผน “ลดหย่อนภาษี” อย่างจริง ๆ จัง ๆ เพราะเป็นสิทธิที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ นอกจากสร้างหลักประกัน ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มเงินออมเก็บไว้ใช้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากวางแผนไว้แต่เนิ่น จะมีเงินออมใช้จ่ายเหลือ และคุ้มค่าขึ้นถ้าการลงทุนนั้นนำไปลดหย่อนภาษีได้อีก

นอกจาก “เสียภาษีทางตรง” จากการที่กรมสรรพากรเรียกเก็บทุกปีอย่าง “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” หรือ “ภาษีนิติบุคคล” แล้ว ยังมี “เสียภาษีทางอ้อม” ที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากผู้บริโภคเมื่อขายสินค้าและบริการต่าง ๆ อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specification Business Tax) และอากรแสตมป์ (Stamp Duty)

ข้อมูลการเก็บภาษีจากกรมสรรพากรที่รวบรวมโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ระบุปี 2562 “ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแนะนำสูตรการคำนวณภาษีง่าย ๆ ดังนี้
เงินได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
จากนั้น นำ “เงินได้สุทธิ” x “อัตราภาษี”* = เงินภาษีที่ต้องจ่าย
(เครื่องคำนวณภาษีจากตลาดหลักทรัพย์)

ปัจจุบัน นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านการเงิน เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้สะดวกเหมือนใช้จ่ายผ่าน e-Wallet ทั้งการเปิดบัญชีออมทรัพย์ บัญชีกองทุนรวม หรือเลือกซื้อประกันฯ ก็ทำได้ผ่านแอป แบบไม่ต้องใช้เงินสด ทั้งนักลงทุนมือใหม่และมือเก๋า โดย “1 บาทก็เริ่มลงทุนได้” ผ่านแอป TrueMoney Wallet มีจุดเด่น ดังนี้

•เริ่มต้นง่าย มือใหม่ยังไม่เปิดพอร์ตเข้ามาดูและศึกษาการลงทุนได้ มีบทความแนะนำ เข้าใจง่าย ใช้เวลาเปิดบัญชีไม่ถึง 10 นาที ก็เปิดพอร์ตการลงทุนและเข้าถึงกองทุนรวมกว่า 600 กองทุน ไม่ต้องไปสาขา หรือเตรียมเอกสารยุ่งยาก
•ไม่จำกัดค่าย ซื้อได้กว่า 10 บลจ. มีกองทุนที่เริ่มต้นเพียงหนึ่งบาทก็ลงทุนได้ ลูกค้าที่มีเงินในบัญชีที่ยังไม่นำไปใช้จ่ายจึงนำไปลงทุนได้ รวมถึงมีกองทุนจาก บลจ. ที่สามารถลงทุนโดยตัดจากบัตรเครดิตได้ด้วย
•มีเทคโนโลยี ที่เข้าใจความต้องการนักลงทุน ด้วย Disruptive Customer Journey และจัดทำ Personalized Fund Guide ที่เหมาะกับนักลงทุนโดยเฉพาะ จัดเรียงกองทุนตาม performance ที่ผู้ใช้ตั้งค่าดูได้เอง
•เชื่อมต่อนวัตกรรม e-Wallet เข้ากับบริการ FundConnext ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วยให้ศึกษาการลงทุน ติดตามหนังสือชี้ชวนการลงทุน คำแนะนำต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ซื้อ หรือขายกองทุนผ่านหน้าแดชบอร์ดในแอปพลิเคชั่นได้แบบเรียลไทม์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.truemoney.com/taxsaving/