“อัพบิต” เพิ่มดีกรีเกมบุก ชิงส่วนแบ่งตลาด “นักเทรดคริปโต”

พีรเดช ตันเรืองพร
พีรเดช ตันเรืองพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด
สัมภาษณ์

แม้อัพบิต (Upbit) จะเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าการซื้อขายติด 1 ใน 5 ของโลก และเป็นแพลตฟอร์มเทรดคริปโตเคอร์เรนซีอันดับ 1 ในเกาหลีใต้ และให้บริการในหลายประเทศ ทั้งในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย รวมถึงประเทศไทย ซึ่งหากโฟกัสเฉพาะตลาดในบ้านเรา ด้วยความที่เปิดตัวช้ากว่า จึงมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามหลังคู่แข่ง โดยเฉพาะเจ้าตลาดค่อนข้างมาก แต่เป้าหมายในปีนี้กลับไม่ธรรมดา

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “พีรเดช ตันเรืองพร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขาย และนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้แบรนด์ “อัพบิต” (Upbit) หลากหลายแง่มุมทั้งที่เกี่ยวกับแผนธุรกิจของบริษัท และมุมมองเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

Q : จุดเริ่มต้นธุรกิจ

อัพบิตเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลสัญชาติเกาหลีใต้ ก่อตั้งเมื่อปี 2560 ก่อนจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยต้นปี 2564 โดยเราเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทแม่ในเกาหลีใต้ กับกลุ่มนักลงทุนไทย (คุณชัชวาลย์ เจียรวนนท์, คุณสมโภชน์ อาหุนัย ผู้ก่อตั้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรืออีเอ และคุณปรีชา ไพรภัทรกุล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOL Global Inc.)

Dunamu เป็นบริษัทแม่ที่เกาหลี มีประสบการณ์ด้านฟินเทคมาก่อน เริ่มจากบริการด้านซื้อขายหลักทรัพย์กับบุคคลทั่วไปผ่านแอปพลิเคชั่นที่ชื่อ StockPlus มีพันธมิตรเป็นธุรกิจนายหน้าและธุรกิจหลักทรัพย์ จึงนำประสบการณ์ที่ได้มาใช้พัฒนาแพลตฟอร์มอัพบิตให้กลายเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์นักลงทุน ทำให้หลังจากอัพบิตเปิดตัวที่เกาหลีใต้เพียง 2-3 เดือน ก็ขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของแพลตฟอร์มเทรดคริปโตเคอร์เรนซีในเกาหลีใต้

Q : แผนการดำเนินธุรกิจในไทย

ปีนี้เราจะมุ่งไปยังการผลักดันส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 20% ให้ได้ในสิ้นปี จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งเพียง 2-3% คิดจากมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย โดยอ้างอิงข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ห่างจากเบอร์ 1 ที่มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 90% ค่อนข้างมาก เพราะเราเข้าสู่ตลาดช้ากว่า

ดังนั้นในปีนี้ เป้าคือการเร่งทำการตลาด ซึ่งคงทำในหลายรูปแบบ บางส่วนจะใช้ศักยภาพของบริษัทแม่ที่เกาหลีเข้ามาต่อยอด เพราะต้องยอมรับว่าการแข่งขันในตลาดนี้แข่งกันที่การทำตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ในแง่แบรนด์

อย่างล่าสุด เราเพิ่งมีกิจกรรมครบรอบ 1 ปีของ Upbit ที่ให้เทรดฟรี 0% ลูกค้าจะซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในคู่อิง /BTC และ USDT ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ตลอดเดือน ก.พ.นี้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มจำนวนบุคลากรจาก 30 คน เป็น 40 คน เพื่อรองรับการเติบโตด้วย

Q : เป้าในแง่รายได้

ในแง่รายได้ คาดว่าน่าจะเติบโตขึ้นกว่า 7 เท่า ตามส่วนแบ่งการตลาดที่จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 มีรายได้ไม่ถึง 100 ล้านบาท

แต่ทิศทางในอนาคตที่น่าจะเป็นแผนใหญ่ที่สุด คือ การรุกเข้าสู่การทำตลาด NFT (nonfungible token) เนื่องจากบริษัทแม่ที่เกาหลีใต้ได้มีการสวอปหุ้นกับเอเยนซี่ของ “บีทีเอส” บอยแบนด์ชื่อดังด้วยการลงทุนร่วมกัน

จากจุดนี้น่าจะทำให้ขยับขึ้นไปเป็น global market place ในฐานะตัวกลางซื้อขาย NFT แม้อัพบิตประเทศไทยจะไม่มีใบอนุญาต NFT market place ในไทย แต่มีในเกาหลีใต้, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ คาดว่าอาจเปิดให้บริการได้เร็ว ๆ นี้

Q : มุมมองเกี่ยวกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ต้องบอกว่าเป็นยุคของ ICO (initial coin offering) หรือการระดมเพื่อสร้างโทเค็นดิจิทัล ช่วงนั้นตลาดเติบโตสูงมาก ๆ แต่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

อัพบิตเองเข้าสู่ตลาดในไทยช้ากว่าเจ้าอื่น ๆ เนื่องจากเราตั้งบริษัทหลังพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีการประกาศใช้ ขณะที่รายอื่นยื่นขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจไปก่อนหน้านี้แล้ว อัพบิตยื่นขอไลเซนส์ปี 2562 แต่เพิ่งได้รับใบอนุญาตประมาณปลายปี 2563 และเริ่มเปิดให้บริการเป็นทางการต้นปี 2564 สอดรับการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยที่โตก้าวกระโดดอย่างมากในปีที่ผ่านมา

จำนวนการเปิดพอร์ตการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยทะลุจากหลักแสนเป็นหลักล้านภายในเวลาอันรวดเร็ว

ส่วนหนึ่งเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น เมื่ออยู่บ้านมากขึ้น ก็มีเวลาศึกษาเรื่องการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล คริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรม ซึ่งอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีในไทยก็อยู่ในช่วงกำลังเติบโต แม้กระแสจะดี มีคนเปิดพอร์ตเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีพอร์ตสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว ดังนั้นจึงยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก

Q : จุดขายของอัพบิตต่างจากคู่แข่งอย่างไร

สิ่งที่อัพบิตพยายามทำ คือ การสร้างบริการที่แตกต่างจากคู่แข่งขัน และมีบริการที่คู่แข่งไม่สามารถทำได้ ผู้เล่นแต่ละรายก็มีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มเป้าหมายของอัพบิต คือ นักเทรดคริปโตเคอร์เรนซี ดังนั้น บริการและฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ออกมาก็จะตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ ที่เป็นนักเทรดจริง ๆ

อัพบิตเป็นผู้เล่นเจ้าเดียวที่มีระบบ Upbit Digital Asset Index หรือ UBCI เสมือน SET Index หรือดัชนีตลาดหุ้นไทย และมีฟีเจอร์ Stop Loss หรือคำสั่งขายสินทรัพย์เมื่อถึงราคาหรือเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการเทรด เป็นฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคค่อนข้างมาก ซึ่งเฉพาะนักเทรดตัวจริงเท่านั้นที่มองฟีเจอร์เหล่านี้ว่าเป็นสิ่งจำเป็น ถ้ามือใหม่อาจไม่ให้ความสำคัญกับฟีเจอร์เหล่านี้

ปัจจุบันเรามีเหรียญมากกว่า 92 เหรียญ พร้อมคู่เทรดกว่า 114 คู่ จากที่เริ่มแรกมีให้เทรด 5 เหรียญ ก็มีการคัดเลือกเหรียญคุณภาพเพิ่มเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งเป็น exchange ที่มีเหรียญให้เทรดมากที่สุดในประเทศไทย

ในแง่แบรนดิ้ง ด้วยความที่เราเข้าสู่ตลาดไทยช้ากว่ารายอื่น การสื่อสารเพื่อบอกว่าธุรกิจนี้คืออะไรเราไม่จำเป็นต้องทำมาก เพราะคนรู้จักแล้วว่าคริปโตเคอร์เรนซีคืออะไร แต่การมาทีหลังมีข้อเสีย คือ คู่แข่งที่ได้ใบอนุญาตไปก่อนรุกตลาดอย่างหนัก สร้างการรับรู้ไปก่อน จึงอาจทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้นึกถึง อัพบิตก่อน เมื่อจะเปิดพอร์ตหรือเข้ามาลงทุน ซึ่งปีนี้เราจะรุกทำตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์มากขึ้นเพื่อขยายฐานคนใช้งาน

ที่ผ่านมา บริษัทลงทุนค่อนข้างมาก โดยมีทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท การพัฒนาระบบต่าง ๆ ที่นำแพลตฟอร์มจากบริษัทแม่มาปรับใช้ให้เข้ามากลุ่มลูกค้าคนไทย แต่โดยรวม ๆ แล้วการลงทุนก็น้อยกว่าบริษัทอื่น ๆ