Gen 3 รุก 78 ปี “ชาระมิงค์” พลิกโฉมลุยตลาด “มิลเลนเนียล”

สัมภาษณ์

“ชาระมิงค์” ถือเป็นไร่ชาในตำนานที่มีอายุยาวนานกว่า 70-80 ปี และยังทำใบชา back tea ชาฝรั่ง หรือชาดำ แห่งเดียวในประเทศไทย ที่จังหวัดเชียงใหม่ แม้วันนี้ตลาดชาเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่การปรับตัวถือเป็นสิ่งสำคัญ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “จักริน วังวิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาระมิงค์ จำกัด ทายาทรุ่นที่ 3 ที่เข้ามาบริหารสืบทอดกิจการต่อถึงทิศทางที่จะก้าวไปข้างหน้า

ส่งชาออร์แกนิกตีตลาด USA

“จักริน” เล่าว่า ชาระมิงค์ถือเป็นแหล่งกำเนิดชาแห่งหนึ่งของโลก เราได้เริ่มสำรวจบุกเบิกและพัฒนาไร่ชาในประเทศไทย และก่อตั้งบริษัทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 ต่อมาในปี พ.ศ. 2499 ได้พัฒนาการทำไร่ชาแบบสากล ในนาม “บริษัท ใบชาตราภูเขา จำกัด” โดยมีผลิตภัณฑ์ตัวแรก คือ ชาจีน จนถึงปี พ.ศ. 2510 ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท ชาระมิงค์ จำกัด” เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่ปลูกชา บริเวณต้นแม่น้ำปิง ต่อมาปี พ.ศ. 2512 ผู้สืบทอดรุ่นที่ 2 ได้เข้ามาดำเนินกิจกรรม โดยนำเข้าเครื่องบรรจุชาชนิดซองเดี่ยวจากประเทศไต้หวัน เพื่อบรรจุ back tea และเริ่มวางจำหน่ายร้านค้าในเชียงใหม่ ปัจจุบันได้มีการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ โดยให้ความสำคัญตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ และคัดสรรเฉพาะยอดอ่อนของต้นชา การปลูกชาจะเป็นแบบออร์แกนิก ให้เติบโตแบบ under shade ตามขั้นบันได เพื่อให้ต้นชาได้รับแสงแรกของแต่ละวัน ใบชาจะผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ และสามารถรักษากลิ่นและรสตามธรรมชาติไว้ได้นาน เพื่อดึงเอากลิ่มหอมเฉพาะ และรสแท้แบบ single organic ออกมาเป็นเครื่องดื่มชาคุณภาพผ่านมาตรฐานสากลแห่งแรกในประเทศไทย

ปัจจุบันชาระมิงค์มีผลิตภัณฑ์สินค้าออร์แกนิกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มชาเขียวชาจีน (ชาจีน/ชาอูหลง/ชาจีนอบดอกมะลิ/ชาเขียวญี่ปุ่น) 2) ชาฝรั่ง (back tea/ชาเขียวออร์แกนิก/ใบชาเขียวออร์แกนิก) 3) กลุ่มชาสมุนไพร (ชาเขียวผสมดอกอัญชัน/คาโมมายล์/ขิงผสมชาเขียว/กระเจี๊ยบผสมชาเขียว) มีมูลค่าทางการตลาดกว่า 150 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นในประเทศ 60% ส่งออก 40% มีกำลังการผลิต 150 ตันต่อปี ทั้งนี้ ชาระมิงค์ได้ผ่านการรับมาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture-USDA) และมีการส่งออกมากกว่า 10 ประเทศ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ชาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ชาฝรั่ง หรือชาดำ โดยมีตลาดหลัก คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากชาปกติได้มาก

ปรับแบรนด์-รุกตลาดออนไลน์

สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาด ได้มีการปรับแบรนด์ให้ทันสมัยรองรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่อายุน้อย โดยเน้นการเข้าถึงกลุ่มคนอายุ 25-45 ปี เพื่อดึงให้คนกลุ่มนี้สนใจมาบริโภคชา เน้นการคิดค้นและพัฒนาสินค้าตัวใหม่ออกมาสู่ตลาด เช่น ชา Blue Moon Thai Tea ที่มีการนำสมุนไพรไทยอย่างดอกอัญชันมาผสมกับชาไทย ด้วยการคั่วชาแบบสูตรเฉพาะ ผู้บริโภคจะสามารถลิ้มรสแบบชาไทยแท้ และยังได้ประโยชน์จากสมุนไพรไทยที่ไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย ซึ่งได้รับการตอบรับดีทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังได้เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ โดยเน้นสินค้าชนิดใหม่ ๆ

ผนึกอินเดียเปิดหลักสูตรคนรักชา

ล่าสุดได้ร่วมมือกับ The Asian School of Tea ประเทศอินเดีย เปิดโครงการ Tea Sommelier ครั้งแรกในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างคนไทยเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับชา ซึ่งอยู่คู่กับสังคมเอเชียมายาวนาน ทั้งในรูปแบบการดื่มชาเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถ้าจะให้ผู้บริโภคสนใจ และเข้าถึงชา ทางชาระมิงค์จึงได้จัดโปรแกรมการเรียนรู้ การดื่มชา ความเข้าใจเกี่ยวกับชา เพื่อจะเลือกชาได้เหมาะกับคนดื่ม เพื่อเพิ่มช่องทางให้คนสนใจในเรื่องชา โดยจัดทำโครงการ The Asian School of Tea ภายใต้ความร่วมมือกับ Global Indai Foundation องค์กรสอนชงชาชั้นนำในประเทศอินเดีย โดยมี Mr. Nandy Souvik ผู้เชี่ยวชาญด้านชาจากประเทศอินเดีย มาให้ความรู้

ซึ่งในการจัดหลักสูตรการเรียนให้กับผู้สนใจเรื่องชาโดยเฉพาะ แบ่งป็น 3 โปรแกรม ได้แก่ 1) โปรแกรม tea sommelier โดยเน้นกลุ่มที่เรียกว่า “คอชา” เป็นการสอนเพื่อให้ผู้ที่สนใจเรื่องชา ซึ่งเน้นการสอนทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยผู้เรียนจะได้เข้าไปรู้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ประกอบด้วย วิธีการปลูก การผลิต การเก็บรักษา การ blending การชงชา และการชิมชา ซึ่งใช้เวลาเรียน 4 วัน 3 คืน 2) โปรแกรม Raming”s Art School of Tea ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีสีสันเน้นกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติที่นิยมการท่องเที่ยวธรรมชาติ และทำกิจกรรม DIY ประกอบด้วย การเยี่ยมชมบรรยากาศไร่ชา ทำกิจกรรมเก็บใบชา กระบวนการผลิต โรงงานชาระมิงค์ บนไร่ชา กิจกรรมการทำอาหารจากใบชา เรียนรู้ศิลปะการ paint ถ้วยชาศิลาดล เรียนรู้การชิมชา และการ blending ชา และ 3) โปรแกรม tea tourism สำหรับตอบโจทย์กลุ่มร้านอาหาร ที่ต้องการให้เข้าไปพัฒนาและให้ความรู้เกี่ยวกับชา โดยจะเริ่มเปิดสอนคอร์สแรกประมาณเดือนพฤษภาคม ปี 2563