“พีพีกรุ๊ป” เขย่าตลาดแฟชั่นดันยอด 1.2 พันล้าน

“พีพีกรุ๊ป” จัดทัพลุยตลาดแฟชั่นไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบ เตรียมขนแบรนด์ใหม่เสริมทัพ พร้อมประกาศรุกอีคอมเมิร์ซเต็มสูบ ส่ง “ลองฌอมป์” ประเดิมออนไลน์ อัดงบฯลงทุน 200 ล้าน ชู 3 กลยุทธ์ ดันยอดขายเติบโตก้าวกระโดด มั่นใจปิดรายได้ 1,200 ล้านบาท

นางสาวสุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ พีพีกรุ๊ป ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์ Celine (เซลีน), Emilio Pucci (เอมิลิโอ ปุชชี่), Givenchy (จีวองชี่), Loewe (โลเอเว่), Longchamp (ลองฌอมป์), MCM (เอ็มซีเอ็ม), Roger Vivier (โรเฌร์ วิวีเยร์), TOD”s (ท็อดส์) และ Tory Burch (ทอรี่ เบิร์ช) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 15 ปี ในการทำธุรกิจ บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง และได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการนำเข้าแฟชั่นแบรนด์ต่าง ๆ เข้ามาเสริมทัพ ซึ่งปัจจุบันมีแบรนด์ภายใต้การบริหารทั้งสิ้น 9 แบรนด์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด

โดยแผนธุรกิจจากนี้จะเน้นการขับเคลื่อนผ่าน 3 กลยุทธ์ ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด คือการโฟกัส loyalty program กับลูกค้า V.I.P. และการนำเข้าแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาไม่หยุด รวมถึงการเข้าสู่การขายในรูปแบบออนไลน์หรือ e-Commerce อย่างเป็นทางการ โดยจะนำร่องในแบรนด์ Longchamp “V.I.P. program คือลูกค้าที่ซื้อสินค้าทั้ง 9 แบรนด์ในเครือพีพีกรุ๊ป โดยเราแบ่งเป็น 2 ประเภท คือลูกค้า PP pearl และลูกค้า PP pure ตามเกณฑ์ตามยอดซื้อสะสมของลูกค้าภายใน 1 ปี ซึ่งเราให้สิทธิประโยชน์ลูกค้าถึง 9 เท่า”

ด้านนายโอฬาร ปุ้ยพันธวงศ์ รองประธานกรรมการ พีพีกรุ๊ป ฉายภาพว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่ยากของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม พีพีกรุ๊ปยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2017 เทียบกับ 2016 บริษัทมีอัตราการเติบโตประมาณ 40% เป็นผลมาจากการขยายสาขาของแบรนด์ MCM ที่สยามพารากอน, เซ็นทรัลเอ็มบาสซี และการเพิ่มแบรนด์ TOD”s เข้ามาในพีพีกรุ๊ป

ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอด้วยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “Off-white” (ออฟไวต์) เป็นแบรนด์กึ่งสตรีตและไลฟ์สไตล์เข้ามาเสริมทัพ ซึ่งได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจแฟชั่น พบว่าแนวโน้มของตลาดมีการเติบโตสูงในไลน์สินค้ากลุ่มลูกค้าสตรีตมากขึ้น โดยเฉพาะคนไทยที่เทรนด์ของสตรีตกำลังมาแรง และมีพฤติกรรมหันมาสนใจแฟชั่นมากขึ้น

ขณะเดียวกัน fashion blogger คนไทยก็แต่งตัวโดดเด่น เชื่อว่ามีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคมาก และที่สำคัญ ผู้บริโภคมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น การเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นจึงมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครหรือแตกต่าง มองว่าแบรนด์ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวอย่าง Off-white เป็นแบรนด์ที่ชัดเจน สนุก กล้าท้าทาย จะตอบโจทย์ผู้บริโภคคนไทยได้เป็นอย่างดี รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

“ในไตรมาสแรกภาพรวมบริษัทเติบโต 46.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีทางเศรษฐกิจ และการจับจ่ายของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว ทำให้บริษัทมีความเชื่อมั่นในการลงทุนทางด้านต่าง ๆ มากขึ้น โดยตั้งงบฯลงทุนปีนี้ไว้ 150-200 ล้านบาท สำหรับเงินลงทุนในการเปิดร้าน การตลาด ประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมการขาย พร้อมตั้งเป้าหมายของยอดขายประมาณ 1,200 ล้านบาท”

ส่วนการขยายช่องทางการขายไปสู่รูปแบบอีคอมเมิร์ซนั้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะการหันมาช็อปปิ้งออนไลน์กันมากขึ้น ขณะเดียวกันเมืองไทยมีการพัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมามากมาย ในส่วนของพีพีกรุ๊ปเองได้ทดลองขายของทางออนไลน์กันมาระยะหนึ่งผ่านแบรนด์ Longchamp และ MCM ที่มีการขายผ่านทางแอปพลิเคชั่น Line@ จากนี้จะพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มรูปแบบ

โดยที่ผ่านมา e-Commerce IQ ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ในปี 2016 มูลค่าการซื้อขายสินค้าอีคอมเมิร์ซของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย มีมูลค่าสูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยธุรกิจแฟชั่นมีมูลค่าประมาณ 390 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 13,650 ล้านบาท และเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 49% จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้บริษัทตัดสินใจลงทุนพัฒนาทางอีคอมเมิร์ซ โดยแบรนด์ลองฌอมป์เป็นที่คุ้นเคยของผู้บริโภคชาวไทย เนื่องจากอยู่ในตลาดมากว่า 11 ปี จึงทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ซึ่งกลุ่มเป้าหมายอายุตั้งแต่ 25-40 ปี ที่มีพฤติกรรมที่ชอบการสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์

โดยพีพีกรุ๊ป นับเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้ากลุ่มแฟชั่นรายแรกของประเทศไทย ที่ปรับตัวตามยุคสมัยด้วยการเพิ่มการจำหน่ายสินค้าในรูปแบบออนไลน์ เนื่องจากบริษัทมีความเข้าใจว่าเทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกและพฤติกรรมของผู้บริโภค การมีอีคอมเมิร์ซจะช่วยทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อีกทางหนึ่ง

ปัจจุบัน ลองฌอมป์มีสาขาเปิดให้บริการทั้งหมด 5 แห่ง มีผู้เข้าใช้บริการส่วนมากเป็นคนไทยคิดเป็น 80% และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีก 20% จากสาขาดังกล่าว จะครอบคลุมเพียงแค่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ตลาดต่างจังหวัดยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก การซื้อขายผ่านออนไลน์จะทำให้เพิ่มฐานลูกค้าที่อยู่ตามต่างจังหวัดมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมความพร้อมเรื่องของสินค้า โดยสินค้าที่วางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์จะเหมือนกับหน้าร้านทุกอย่าง ทั้งยังเพิ่มสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟเข้ามาด้วย โดยขณะนี้มีมากกว่า 100 เอสเคยู และจะปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ ทำให้มีสินค้าที่สดใหม่อยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันมีลูกค้ามาเข้าเว็บไซต์มากกว่า 5,000 คน โดยตั้งเป้าเดือนละ 2 แสนคน และเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างจังหวัดที่ปัจจุบันมีอยู่เพียง 10% กรุงเทพฯ 90% เปลี่ยนเป็นต่างจังหวัด 40% กรุงเทพฯและปริมณฑลอีก 60%