ยักษ์สื่อมะกันปะทะเดือด “คอมคาสต์” หวนเปิดศึก “ดิสนีย์”

คอลัมน์ Market Move

ระหว่างที่เหล่าซูเปอร์ฮีโร่จากค่ายมาร์เวลกำลังรวมพลังห้ำหั่นกับธานอสในมหาสงครามล้างจักรวาลพร้อมทุบสถิติรายได้อยู่นั้น “วอลต์ ดิสนีย์” ยักษ์สื่อบันเทิงรายใหญ่ของโลกและเจ้าของสตูดิโอมาร์เวลกำลังจะต้องเผชิญศึกใหญ่ของตนเองนั้นคือ ศึกซื้อกิจการ “ทเวนตี้เฟิรสต์เซ็นจูรี่ฟอกซ์” (21st Century Fox) ซึ่งมีแววว่าจะกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง หลัง “คอมคาสต์” (Comcast) ยักษ์ธุรกิจสื่อสัญชาติอเมริกันอีกราย และคู่แข่งในดีลนี้ เตรียมยื่นข้อเสนอใหม่มูลค่าสูงกว่าเดิมหลังถูกปฏิเสธไปก่อนหน้า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับแผนธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้น รวมถึงแฟนภาพยนตร์ของดิสนีย์อีกครั้ง

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า “คอมคาสต์” เตรียมยื่นข้อเสนอซื้อกิจการ “ฟอกซ์” อีกครั้ง พร้อมเพิ่มเดิมพันเป็นเงินสด 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่าข้อเสนอของดิสนีย์ถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยอาจมีการประกาศอย่างเป็นทางการหลังวันที่ 12 มิ.ย.ซึ่งเป็นกำหนดที่หน่วยงานกำกับดูแลการผูกขาดทางธุรกิจของสหรัฐจะประกาศผลตัดสินการควบรวมกิจการระหว่าง “เอทีแอนด์ที” (AT&T) กับ “ไทม์วอร์เนอร์” (Time Warner) เนื่องจากคอมแคสต์เคยถูกเพ่งเล็งเรื่องการผูกขาดเช่นกัน ดังนั้นหากดีลดังกล่าวผ่าน จะถือเป็นไฟเขียวให้คอมแคสต์เดินหน้าต่อไป

นอกจากนี้ศึกระหว่างคอมคาสต์กับดิสนีย์ยังยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น เนื่องจากคอมแคสต์อยู่ระหว่างยื่นประมูลซื้อกิจการ “สกาย” (Sky) เครือข่ายทีวีผ่านดาวเทียมในยุโรปแข่งกับฟอกซ์และดิสนีย์ ด้วยมูลค่า 3.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐอีกด้วย จนเกิดเป็นการเผชิญหน้า 3 ฝ่ายของยักษ์ธุรกิจสื่อ

อย่างไรก็ตาม คอมแคสต์ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นเดียวกับ “บ็อบ ไอเกอร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดิสนีย์ ซึ่งกล่าวว่า ดีลนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนทางกฎหมาย จึงไม่สามารถให้ความเห็นได้ แต่ยังมั่นใจในดีลนี้และได้ปรับโครงสร้างบริษัทเตรียมรับหน่วยธุรกิจใหม่นี้เอาไว้แล้ว หากผ่านการอนุมัติกระบวนการรวมกิจการจะเป็นไปอย่างรวดเร็วไร้ปัญหาแน่นอน

ด้านนักวิเคราะห์มองว่า ความพยายามซื้อกิจการนี้ อาจส่งผลเสียกับคอมแคสต์มากกว่า เนื่องจากอาจทำให้บริษัทมีหนี้สูงถึง 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นหนี้มูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ธุรกิจสัญชาติสหรัฐ เพราะเม็ดเงินที่เสนอในดีลนี้ส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน ไม่คุ้มกับการได้

คอนเทนต์เข้ามาเสริมทัพ

ตรงข้ามกับดิสนีย์ที่ผลประกอบการธุรกิจผลิตภาพยนตร์ไตรมาส 2 สูงกว่าคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ ด้วยการมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 29% เป็น 847 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังภาพยนตร์ “แบล็ค แพนเธอร์” ประสบความสำเร็จสร้างรายได้ถล่มทลายทั้งในและนอกประเทศรวมกว่า 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นแท่นภาพยนตร์ทำเงินอันดับ 9 ของฮอลลีวูด และช่วยชดเชยกำไรที่ลดลง 4% ในธุรกิจสื่อโทรทัศน์และเม็ดเงินที่ลงทุนด้านบริการสตรีมมิ่งไปได้ ในขณะที่ “อเวนเจอร์ อินฟินิตี้วอร์” กำลังได้รับความนิยมจากผู้ชมทั่วโลกจนใกล้แตะรายได้ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอาจสร้างกำไรถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว

ความสำเร็จนี้ยิ่งย้ำเป้าหมายของดิสนีย์ที่ต้องปิดดีลให้ได้เพื่อดึงลิขสิทธิ์ตัวละครเอ็กซ์เมน (X-men) และแฟนทาสติกโฟร์ (Fantastic Four) ที่ฟอกซ์ครอบครองอยู่กลับมาต่อยอดภาพยนตร์ของสตูดิโอมาร์เวล

ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวนี้ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับตัวของผู้เล่นในธุรกิจสื่อซึ่งพยายามขยายพอร์ตโฟลิโอของตนเองให้หลากหลายและเข้มแข็งมากที่สุด เพื่อรับมือการแข่งขันกับบรรดาบริการสตรีมมิ่งที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดทั้งในสหรัฐและทั่วโลกไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องจับตาดูว่าสุดท้ายแล้วใครจะได้กิจการฟอกซ์ไปครอง และแฟนภาพยนตร์มาร์เวลจะได้เห็นเอ็กซ์เมนกับแฟนทาสติกโฟร์ร่วมทีมอเวนเจอร์หรือไม่