“ยันฮี”ทุ่มลงทุนธุรกิจรอบใหม่ ผนึกรพ.เจ้าพระยา-วิภาวดีแชร์บิ๊กดาต้า

ตลาดโรงพยาบาลเอกชนแข่งขันเดือดอัดโปรโมชั่น ชูบริการดีแย่งลูกค้า ด้านโรงพยาบาลยันฮีเติมจุดขายใหม่ เดินหน้าขยายศูนย์ทันตกรรมที่ใหญ่ที่สุดในไทย พร้อมเพิ่มทีมแพทย์ศัลยกรรม รับกลุ่มนักเรียน นักศึกษาแห่ทำสวย พร้อมตั้งรับโครงสร้างประชากรเปลี่ยน เล็งขยายศูนย์สูงอายุเป็น 400 เตียงในอนาคต ขณะที่สิ้นปีนี้คาดรายได้ทะลุ 2,400 ล้านบาท ตลาดแข่งดุ-ผนึกพันธมิตรสู้

นายแพทย์สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันภาพรวมของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนยังมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะด้านบริการและโปรโมชั่นราคา อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง จากความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น สำหรับยันฮีที่เป็นโรงเดี่ยว จึงมีนโยบายจับมือเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลเดียวในละแวกใกล้เคียง อาทิ โรงพยาบาลเจ้าพระยา (ถนนบรมราชชนนี) โรงพยาบาลวิภาวดี (ถนนวิภาวดีรังสิต) ในลักษณะของการแชร์ข้อมูล อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ พร้อมกับการชูจุดขายของการเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงาม

ทุ่ม 1.2 พันล้านขึ้นตึกใหม่

พร้อมกันนี้ ยันฮียังวางยุทธศาสตร์ด้วยการพยายามสร้างความแตกต่างด้วยการเป็นโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมากขึ้น เพื่อเสริมจุดแข็งเดิม โดยทิศทางธุรกิจจากนี้จะเริ่มจากการลงทุนก่อสร้างอาคารอินเตอร์ 3 ภายใต้งบฯลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท เพื่อเปิดเป็นศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางต่าง ๆ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการปลายปีนี้ อาทิ ศูนย์หัวใจ ศูนย์ทันตกรรม โดยเฉพาะศูนย์ทันตกรรมนั้นจะเพิ่มจาก 50 เตียง เป็น 100 เตียง และจะกลายเป็นศูนย์ทันตกรรมที่ใหญ่ที่สุดในไทย

ส่วนตลาดศัลยกรรมความงามที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากความต้องการทำศัลยกรรมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา วัยรุ่น จากเดิมที่เป็นคนวัยทำงานขึ้นไป ขณะนี้โรงพยาบาลได้เตรียมเพิ่มทีมศัลยกรรมแพทย์จาก 15 คน เป็น 20 คน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

“ยันฮีถือเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มี 400 เตียง และมีนโยบายจะขยายการรักษาโรคต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อสร้างโอกาสทางการแข่งขัน ปัจจุบันมี 32 ศูนย์การรักษา และมีฐานลูกค้าหลากหลาย ตั้งแต่การทำคลอดบุตร รักษาทั่วไป จนถึงการทำศัลยกรรมความงาม ต่อจากนี้ก็จะขยายศูนย์เฉพาะทางให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงการรองรับผู้เข้ามารักษาได้เพิ่มขึ้นด้วย”

เล็งขยายศูนย์สูงอายุ

นายแพทย์สุพจน์กล่าวว่า หลังอาคารอินเตอร์ 3 แล้วเสร็จ ยันฮีจะมีทั้งหมด 4 อาคาร บนพื้นที่ 10 ไร่ และจะสามารถรองรับผู้ใช้บริการได้มากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสร้างเสร็จ นอกจากนี้ รพ.ยังเหลือพื้นที่อีก 10 ไร่ ที่อยู่ถัดจากที่เดิมออกไป สำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต โดยหนึ่งในนั้นก็คือ ศูนย์ผู้สูงอายุยันฮี ที่วางแผนจะเพิ่มเป็น 400 เตียง จากปัจจุบันเปิดให้บริการ 40 เตียง บนพื้นที่ 2 ไร่

“การที่โครงสร้างประชากรของไทยที่เปลี่ยนไปและกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้มีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ที่เปิดส่วนใหญ่จะดูแลเฉพาะผู้สูงอายุที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่สำหรับศูนย์ผู้สูงอายุยันฮีจะดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่ป่วย และตลาดนี้ก็มีผู้เล่นไม่มาก เพราะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและต้องมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด เราจึงมีแผนจะขยายเพิ่ม แต่จะเริ่มเมื่อไรนั้นอาจจะต้องพิจารณาอีกครั้ง”

พร้อมกันนี้ นายแพทย์สุพจน์ยังกล่าวถึงสินค้าความงาม ภายใต้แบรนด์ “ยันฮี” ว่า เพื่อให้สามารถกระจายสินค้าเข้าสู่ผู้บริโภคได้มากและรวดเร็ว ตอนนี้ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายด้วยการลดสัดส่วนการขายผ่านยันฮีช็อปลง รวมถึงการลดจำนวนการเปิดช็อปยันฮีลงด้วย และเน้นการขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ซึ่งปัจจุบันวางจำหน่ายผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น วัตสัน เทสโก้ โลตัส และส่งผลให้ภาพรวมของกลุ่มสินค้าแบรนด์ “ยันฮี” เติบโตขึ้น

สำหรับภาพรวมคาดว่าสิ้นปีนี้จะเติบโต 10% จากปีก่อน หรือมีรายได้ประมาณ 2,300-2,400 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของฐานลูกค้าใหม่และการรักษาลูกค้าเก่า