ร้อนจัด…ดีมานด์ทะลัก “เฮลซ์บลูบอย” ขาดตลาด

ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์ น้ำหวานเฮลซ์บลูบอยขาดตลาด โดยเฉพาะร้านค้าปลีก ค้าส่งต่างจังหวัด ทำให้พ่อค้าแม่ขายหาซื้อสินค้าไม่ได้

จากการสำรวจศูนย์ค้าส่ง ค้าปลีกรายใหญ่ วิชโก้ โฮลเซล นครราชสีมา พบว่า เฮลซ์บลูบอยเกลี้ยงเชลฟ์ สินค้ายังไม่เข้า จากที่สินค้าเริ่มขาดตลาดมาแล้วสักระยะ

เช่นเดียวกับบิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ต ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด ก็มีสินค้าจำกัด ไม่สามารถซื้อยกลังได้ เนื่องจากคลังสินค้าสั่งของได้ไม่มาก จึงต้องกระจายสินค้า บางสาขาได้สินค้าไปขายเพียงแค่ 4-5 ลังเท่านั้น

ขณะที่ “เก็ทอิท ซูเปอร์มาร์เก็ต” ในเครือตั้งฮั่วเส็ง ก็ไม่มีของขายมาแล้วสักระยะ และสั่งสินค้าเข้าเพิ่มไม่ได้

รวมถึงค้าส่งขนาดใหญ่อย่าง “แม็คโคร” หลายสาขา ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลก็แจ้งว่า ไม่มีน้ำหวานเฮลซ์บลูบอยขายมาประมาณ 1 เดือนแล้ว และคาดว่าสินค้าจะเข้ามาปลายเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ยังไม่สามารถระบุวันที่ชัดเจนได้

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่น มินิ บิ๊กซี โลตัส เอ็กซ์เพรส ในย่านจังหวัดนนทบุรี แม้จะยังมีสินค้าจำหน่ายอยู่บ้าง แต่ก็เป็นจำนวนที่ไม่มากนัก

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้บรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อย โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขายกาแฟรถเข็นเกิดความกังวลว่า อาจจะเกิดจากการกักตุนสินค้า หลังกรมสรรพสามิตจะปรับขึ้นภาษีน้ำหวานรอบใหม่เดือนตุลาคมนี้

“ประชาชาติธุรกิจ” สอบถามเรื่องนี้ไปยัง บริษัท เฮลซ์เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำหวานเข้มข้นตราเฮลซ์บลูบอย และได้รับคำชี้แจงในเบื้องต้นว่า การที่เฮลซ์บลูบอยขาดตลาดดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นกว่าทุกปี ประกอบกับเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นเดือนรอมฎอนถือศีลอดของชาวมุสลิม ทำให้ความต้องการน้ำหวานพุ่งสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และแม้บริษัทจะผลิตสินค้าทุกวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผู้บริหารบริษัทเฮลซ์เทรดดิ้งอธิบายว่า “ตามปกติช่วงหน้าร้อนทุกปี ความต้องการน้ำหวานก็จะสูงขึ้น แต่ปีนี้ร้อนหนักกว่าทุกปี ทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะผลิตสินค้าทุกวัน แต่ก็ไม่พอขาย และถือว่าขาดตลาดหนักกว่าทุกปี”

ผู้บริหารบริษัทเฮลซ์เทรดดิ้งเล่าด้วยว่า จากดีมานด์ที่สูงมากทำให้บริษัทไม่สามารถจะส่งไปให้โมเดิร์นเทรดต่าง ๆ ได้ เพราะมีผู้ประกอบการค้าส่งจากต่างจังหวัดมารอรับสินค้าหน้าโรงงานทุกวัน จึงไม่มีสต๊อกเพียงพอที่จะกระจายไปยังช่องทางอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเร็ว ๆ นี้

แหล่งข่าวจากธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งให้ข้อมูลว่า การที่น้ำหวานเฮลซ์บลูบอยขาดตลาด ทำให้ตอนนี้กลุ่มผู้ประกอบการ ร้านค้ารายย่อยที่เปิดขายกาแฟ เครื่องดื่ม ทั้งที่เป็นพวกรถเข็นข้างทาง ร้านน้ำหวานริมทาง ข้างถนนต่าง ๆ ในต่างจังหวัดก็เริ่มได้รับผลกระทบแล้ว เนื่องจากไม่มีสินค้าขาย หรือมีของขายแต่ก็ต้นทุนเพิ่ม ไม่สามารถขึ้นราคาเครื่องดื่มได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กรมสรรพสามิตได้มีการจัดเก็บภาษีความหวานครั้งแรกในปี 2560 ที่ผ่านมา เป็นอัตราการจัดเก็บแบบก้าวหน้า “ยิ่งหวานมาก ยิ่งเสียภาษีมาก” ซึ่งตามกฎหมายระบุให้กรมสรรพสามิตจะต้องมีการปรับขึ้นภาษีทุก ๆ 2 ปี ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าช่วงปลายปีนี้ หรือประมาณช่วงตุลาคมนี้ กรมสรรพสามิตจะปรับขึ้นภาษีความหวานใหม่อีกครั้ง

โดยกฎหมายกำหนดให้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเข้มข้นที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและสามารถละลายน้ำได้ หากมีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมต่อปริมาตร 100 มล. จะเสียภาษีความหวาน 1 บาท/ลิตร หากมีปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัม แต่ไม่เกิน 18 กรัม จะเสียภาษี 3 บาท/ลิตร และหากมีปริมาณน้ำตาลเกิน 18 กรัม จะเสียภาษี 5 บาท/ลิตร

จากการตวจสอบพบว่า เฮลซ์บลูบอย 30 มล. มีปริมาณน้ำตาล 25 กรัม หากเฮลซ์บลูบอย 100 มล. จะมีปริมาณน้ำตาลประมาณ 83 กรัม เข้าข่ายที่จะต้องเสียภาษีในอัตรา 5 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้นถึง 400% จากอัตราที่เสียในปัจจุบัน (น้ำตาลเกิน 14 กรัม เสียภาษี 1 บาท/ลิตร) ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 4 บาท

ทำให้ร้านกาแฟ ร้านเครื่องดื่มรถเข็น ร้านน้ำแข็งไสริมทาง ร้านเบเกอรี่ที่ใช้น้ำหวานเป็นวัตถุดิบได้รับผลกระทบอีกรอบ หลังจากเฮลซ์บลูบอยปรับขึ้นราคาเมื่อต้นปี 2561 มาแล้วครั้งหนึ่ง จากราคาขายปลีกเดิม 37-39 บาท เป็น 43-49 บาท ซึ่งเป็นผลจากการที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตจากปริมาณความหวานเพิ่มขึ้น

เมื่อราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นอีกรอบ คงหนีไม่พ้นการปรับราคาสินค้าขึ้นของร้านค้ารายย่อย บายพาสผลกระทบให้ตกไปอยู่ในมือผู้บริโภคต่อไป