“ซาบีน่า” เดินเกมรุกโตนอกห้าง จีบเวียดนามผลิตลดเสี่ยงจีน

ตลาดชุดชั้นในมูลค่า 3 หมื่นล้านโตไม่หยุด “ซาบีน่า” เปิดเกมรุกดันคอลเล็กชั่นใหม่ ชูจุดเด่นแฟชั่น-ฟังก์ชั่นใส่สบาย ดึงพรีเซ็นเตอร์ส่งแคมเปญดึงลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมปรับแผนเร่งโตนอกห้าง ส่งพ็อปอัพสโตร์-คาราวาน บุกพื้นที่ทราฟฟิกสูง ก่อนรุกหนักอีคอมเมิร์ซ-ทีวีช็อปปิ้ง ขยายฐานวัยรุ่น จนถึงวัยเกษียณ เพิ่มน้ำหนักทำตลาดไทย-เทศ หวังโกยยอดขายแตะ 5 พันล้านภายใน 4 ปี

นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์ภาวะเศษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัวในขณะนี้ รวมถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่นอกจากจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงแล้ว ยังส่งผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมธุรกิจทุกภาคส่วน ทำให้ซาบีน่าต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขาย เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมบริษัทในปี 2562 ที่ผ่านมา มีผลประกอบการเติบโตขึ้น 6% หรือมีรายได้จากการขาย 3,279 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 413 ล้านบาท มีแนวเติบโตขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีรายได้ 3,103 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ทำให้เติบโตมาจากการขายในทุกช่องทาง แบ่งเป็น ช่องทางรีเทล ผ่านเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า และซาบีน่า ช็อป เติบโต 3.7% ส่วนช่องทางออนไลน์เติบโต 32% ช่องทางส่งออกในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี โดยเฉพาะประเทศเวียดนามเติบโต 25.7% และช่องทางจ้างผลิต (OEM) เติบโต 0.1% ขณะที่ภาพรวมตลาดชุดชั้นในของไทยเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ ประกอบด้วยสินค้าประเภทชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ และชุดนอน ทั้งหมดนี้มีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี และมีอัตราการเติบโตประมาณ 2-3 ต่อปี

ทำให้บริษัทเตรียมแผนการดำเนินงานในปี 2563 เพื่อสอดรับกับการเติบโตของตลาด เริ่มจากเน้นสินค้าชุดชั้นในที่มีคุณภาพ โดยใช้นวัตกรรมการผลิตเข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้า และมีการนำเสนอชุดชั้นในคอลเล็กชั่นใหม่ ๆ มากขึ้น จากที่ผ่านมา ซาบีน่าเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์คัพ A รุ่น Doomm Doomm เพียงอย่างเดียว ซึ่งจากการสำรวจพบว่าผู้หญิงมีสัดส่วนคัพทรง B, C และ D เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ปีนี้จะเน้นพัฒนาชุดชั้นในสำหรับสาว ๆ คัพไซซ์มากขึ้น พร้อมจัดทีมวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ของผลิตภัณฑ์ชุดชั้นใน รวมถึงการนำข้อมูลการจัดจำหน่ายในปีที่ผ่านมา มาวิเคราะห์เพื่อหารูปแบบสินค้า โดยเฉพาะด้านของฟังก์ชั่นใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคควบคู่กับการทุ่มงบฯ 4% ของยอดขาย ทำการตลาดและจัดแคมเปญใหญ่ ล่าสุดได้เตรียมแคมเปญ “ท้าให้ลอง Invisible” ดึง “ชมพู่ อารยา” เป็นพรีเซ็นเตอร์ มีกำหนดปล่อยทีเซอร์ฉบับเต็มในเดือนมีนาคมนี้ โดยจะเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์และทีวี เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

นอกจากนี้ยังเตรียมลดจำนวนสาขาในศูนย์การค้า ซึ่งจะเป็นสาขาที่ไม่คุ้มทุน ลดลงให้เหลือประมาณ 20 ร้าน ในทางกลับกันจะเน้นขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ ๆ ที่อยู่นอกพื้นที่ห้างมากขึ้น ซึ่งจะมีหลายรูปแบบ เช่น พ็อปอัพสโตร์ และบูทหน้าห้าง รวมถึงการจัดคาราวานสินค้า เข้าไปในทุกพื้นที่ที่มีทราฟฟิกสูง รวมถึงบุกช่องทางขายออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ช และมาร์เก็ตเพลซต่าง ๆ เช่น ช้อปปี้ ลาซาด้า ไลน์แอด รวมถึงแค็ตตาล็อกฟรายเดย์ ทีวีช็อปปิ้ง เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยเกษียณ หรือคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ และจะมีการเพิ่มช่องทางใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

ด้านธุรกิจส่งออก บริษัทจะยังคงเน้นในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี และฟิลิปปินส์ โดยจะส่งทีมไปประจําอยู่กับบริษัทดิสทริบิวเตอร์ในแต่ละประเทศเพื่อช่วยพัฒนาด้านการขาย เพื่อทำให้ยอดขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่กําลังเติบโตและมีกําลังซื้อสูง และเริ่มขยายช่องทางขายออนไลน์เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เกิดขึ้น เพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตได้ 10-15% อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยคาดว่าจะมีรายได้รวม 5,000 ล้านบาท ในปี 2567

“ปีนี้จะเน้นควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในกระบวนการผลิตมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานเพื่อรองรับการผลิตจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ บุรีรัมย์ ยโสธร ชัยนาท นครปฐม และกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการผลิตเองในสัดส่วน 63% และอีก 37% เป็นการสั่งซื้อสินค้าสำเร็จรูปและจ้างผลิตจากโรงงานในประเทศจีน ที่ขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 แต่ขณะนี้บริษัทได้เริ่มจ้างผลิตในเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง” นายบุญชัยกล่าว