ถูกกว่าไปญี่ปุ่น! สินค้ามือ 2 จาก “ฮาร์ดออฟ” 27,000 รายการ บุกไทย

ตลาดสินค้ามือ 2 คึกคัก แบรนด์ดังจากญี่ปุ่น “ฮาร์ด ออฟ” บุกปักธง เปิดสาขาเทพารักษ์ ขนทัพสารพัดสินค้ามือสองกว่า 2.7 หมื่นรายการ เอาใจลูกค้าคนไทย ชูจุดขายราคาถูกกว่าญี่ปุ่น เดินหน้าทำตลาดออนไลน์ปลุกดีมานด์ พร้อมเก็บบิ๊กดาต้าอัพเกรดไลน์อัพ-วางแผนขยายสาขาเพิ่ม ด้านผู้ประกอบการรายเดิม “โคเมเฮียว” เพิ่มเว็บไซต์จองสินค้า ส่วน “แบรนด์ ออฟ โตเกียว-เทรชเชอร์แฟคทอรี่” โปรฯแรง ลดราคา กระตุ้นจับจ่าย

ถือเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับสินค้ามือ 2 จากญี่ปุ่น นอกจากการเปิดร้านของผู้ประกอบการในประเทศตามย่านต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่มีให้เห็นหนาตามากขึ้น พร้อมด้วยสินค้าหลากหลายและการตกแต่งร้านสไตล์แบบญี่ปุ่นแล้ว ยังมีจุดเด่นในเรื่องของราคาที่ไม่แพง ล่าสุดมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นเชนร้านจำหน่ายสินค้ามือ 2 จากญี่ปุ่น เข้ามาเปิดในไทยเพิ่มอีก 1 ราย

แบรนด์ดังญี่ปุ่นโดดร่วมวง

นายทาดาชิ นากาโนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มตไตไน่ เวิลด์ (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัทลูกของอาริกาโต เซอร์วิส (Arigatou Services) ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านฮาร์ดออฟ กว่า 86 สาขา ในประเทศญี่ปุ่น เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ร้านจำหน่ายสินค้ามือ 2 จากญี่ปุ่นในประเทศไทยที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนเปิดร้านฮาร์ดออฟ สาขาแรกในประเทศไทย ที่ย่านถนนเทพารักษ์ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บนพื้นที่รวมมากกว่า 1,000 ตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่ขาย 560 ตร.ม. และแวร์เฮาส์อีก 500 ตร.ม.

สำหรับแนวทางธุรกิจของร้านฮาร์ดออฟในช่วงปีแรก หลัก ๆ จะมุ่งไปที่เรื่องของสร้างการรับรู้ผ่านทางออนไลน์และโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งเป็นสื่อที่คนไทยนิยมใช้งาน ด้วยการย้ำโพซิชั่นการเป็นแบรนด์จากญี่ปุ่น รวมถึงอัพเดตข้อมูลสินค้าชุดใหม่ที่นำมาวางขายในแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการรับรู้

Advertisment

ควบคู่กันนี้ บริษัทก็เดินหน้าเก็บข้อมูลดีมานด์และพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อสร้างเป็นบิ๊กดาต้า สำหรับนำมาปรับไลน์อัพ-สัดส่วนสินค้า การบริการให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารสต๊อกให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยบริษัทอาจจะใช้เวลาในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ ประมาณ 3-6 เดือน จากนั้นจึงจะสามารถวางแผนงานขั้นต่อไป เช่น การปรับเพิ่มสินค้า ช่วงเวลาการขยายสาขาเพิ่มซึ่งจะโฟกัสย่านชานเมืองให้สอดคล้องกับฐานลูกค้าที่เน้นชาวไทย

“นอกจากการเปิดร้านฮาร์ดออฟในเมืองไทยแล้ว ที่ผ่านมาบริษัทแม่ยังได้ขยายตลาดเข้าไปในประเทศกัมพูชา โดยใช้ชื่อร้านว่า “อีโค ทาวน์” (Eco Town) ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 4 สาขา”

ราคาถูกกว่าขายในญี่ปุ่น

นายทาดาชิให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สินค้ามือ 2 จำหน่ายมากกว่า 2.7 หมื่นชิ้น ที่นำมาวางขายนี้ประกอบด้วย เสื้อผ้า, กระเป๋าแบรนด์เนม, ของแต่งบ้าน, เครื่องครัว, ของเล่น, ของสะสม, ลำโพง, ของใช้เด็ก และอื่น ๆ รวมไปถึงหมวดจังก์ (junk) ซึ่งเป็นสินค้าเบ็ดเตล็ด โดยทั้งหมดเป็นสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น ส่วนในแง่ของราคาโดยเฉลี่ยจะมีในระดับราคาถูกกว่าร้านสาขาในญี่ปุ่น เช่น เสื้อผ้า ราคาเริ่มต้น 30 บาท ไปจนถึง 80 บาท เป็นต้น ตามนโยบายราคาถูกและยุติธรรมทุกวัน (everyday low price-everyday fair price) ซึ่งสินค้าต่าง ๆ ที่นำมาจำหน่ายจะมีการทำความสะอาด-คัดแยกหมวดหมู่ก่อนนำมาวางขาย

Advertisment

อย่างไรก็ตาม ภายในร้านจะไม่มีสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าจำหน่าย เนื่องจากปัญหาความต่างของแรงดันไฟฟ้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่น รวมถึงไม่มีการรับซื้อสินค้ามือสองในไทย

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อจะจับมือกับผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อแปรรูปสินค้าบางชนิดและนำมาจำหน่ายในร้าน เช่น การนำชุดกิโมโนมาตัดเย็บเป็นกระเป๋า รวมถึงอัพเกรดระบบชำระเงินเพื่อเพิ่มความสะดวกและความเร็ว จากปัจจุบันมีเพียงเงินสดและโอนเข้าบัญชี

“ประสบการณ์การเปิดร้านในประเทศกัมพูชา ทำให้รู้ว่าเราไม่สามารถนำโนว์ฮาวจากญี่ปุ่นมาใช้ได้ทั้งหมด แต่ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับลูกค้าในประเทศนั้น ๆ ด้วย โดยหลังเก็บข้อมูลอยู่ 2 ปี ปัจจุบันสาขากัมพูชามีลูกค้าแน่นทุกวัน โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมและมียอดมาก ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครื่องครัวและของใช้ในชีวิตประจำวัน และสามารถขยายสาขาได้ถึง 4 สาขา ในเวลา 5 ปี” นายทาดาชิกล่าว

ตลาดร้านสินค้ามือ 2 คึกคัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาตลาดร้านจำหน่ายสินค้ามือ 2 เป็นตลาดที่ได้รับความนิยมและกำลังเติบโต และมีเชนร้านขายสินค้ามือ 2 ชื่่อดังจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยเป็นระยะ ๆ ไม่ว่าจะเป็น โคเมเฮียว (Komehyo) ที่เข้ามาจับมือกับกลุ่มสหพัฒน์ ตั้งบริษัท สหโคเมเฮียว จำกัด โดยเปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัล @ เซ็นทรัลเวิลด์ เน้นขายกระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์หรูมือ 2 อาทิ แอร์เมส ชาแนล หลุยส์ วิตตอง โรเล็กซ์ คาเทียร์ ฯลฯ ระดับราคาตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป พร้อมเปิดศูนย์รับซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือสองในอาคารสยามพิวรรธน์ ชั้น 28 เพื่อป้อนซัพพลายให้ร้าน เปิดให้บริการเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา และปัจจุบันมีการเปิดหน้าร้านออนไลน์ให้ค้นหาและจองสินค้า

นอกจากนี้ยังมีร้านแบรนด์ ออฟ โตเกียว (Brand Off Tokyo) ที่ถือเป็นร้านระดับท็อป 3 ของประเทศญี่ปุ่น ที่จับมือกับบริษัท มันนี่ คาเฟ่ จำกัด เจ้าโรงรับจำนำ มันนี่คาเฟ่ ปิ่นคู่ เปิดสาขาแฟล็กชิปในไทย ที่สยามสแควร์ ซอย 3 ช่วงปี 2561 เพื่อรับซื้อขายสินค้าแบรนด์เนมมือ 2 โดยมีการทำตลาดทั้งโปรโมชั่นลดสูงสุด 60%, สินค้าราคาเดียว และการประมูลสินค้า เป็นต้น รวมถึงร้านเทรชเชอร์แฟคทอรี่ (Treasure Factory) ที่เน้นขายสินค้าหลากหลาย ทั้งแฟชั่น สินค้าแบรนด์เนม เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี ฯลฯ

โดยสินค้ามีทั้งที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และรับซื้อจากในประเทศไทย พร้อมบริการส่งในพื้นที่ใกล้เคียงในอัตรา 1 ชิ้น 250 บาท ตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป 500 บาท ปัจจุบันมี 3 สาขา คือ สุขุมวิท 39, พระโขนง ซัมเมอร์ฮิลล์ และอ่อนนุช พีเพิล พาร์ค และมีแผนขยายเพิ่มเป็น 8 สาขา ภายในปี 2564