ปรับลงทุนไฮเปอร์มาร์เก็ต “บิ๊กซี” รุกหนักเฮาส์แบรนด์

บิ๊กซีเติมสินค้าของสด-ของตกแต่งบ้านเพิ่มทราฟฟิก เปิดตัวแบรนด์ Besico ดันยอดขายไพรเวตแบรนด์ ปรับโมเดลไฮเปอร์มาร์เก็ต ลงทุนน้อยลง พื้นที่ขายมากขึ้น เดินหน้าพัฒนาช่องทางขายออนไลน์รับเทรนด์ตลาด

นายรามี ปีไรแนน รองผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บีเจซีมีแผนสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ที่มีบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์เป็นหัวหอกต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มทราฟฟิกให้กับศูนย์ ด้วยการเดินหน้าสร้างความแข็งแรงในกลุ่มสินค้าอาหารสดและกลุ่มสินค้าโฮมไลน์ให้มีหลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ เครื่องนอน ของตกแต่งบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ดึงดูดให้ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการที่สาขาต่อเนื่อง

และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายเพิ่มยอดขายจากสินค้าไพรเวตแบรนด์ (แบรนด์สินค้าที่บิ๊กซีเป็นเจ้าของเอง) ให้เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 15% จากยอดขายของบิ๊กซีทั้งหมดภายในปี 2564 จากปัจจุบัน 7.2% ล่าสุด บิ๊กซีได้ลอนช์สินค้าไพรเวตแบรนด์ในกลุ่มโฮมไลน์ แบรนด์ Besico ที่มีแบรนด์ย่อย ๆ ครอบคลุม 7 กลุ่มสินค้า อาทิ ของตกแต่งบ้าน อุปกรณ์กีฬา กระเป๋าเดินทาง ฯลฯ เริ่มเปิดตัวช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีสินค้าอยู่กว่า 500 รายการ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,000 รายการภายในสิ้นปีนี้

สำหรับการขยายสาขาตลอดทั้งปี ยังคงเดินหน้าเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มให้ครบ 9 สาขา มินิบิ๊กซี 200 สาขา ทั้งการลงทุนเองและแฟรนไชส์ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยรูปแบบของสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตใหม่ ๆ ต่อจากนี้ จะเน้นพัฒนารูปแบบสาขาโดยใช้งบฯลงทุนไม่สูงมาก ทำพื้นที่ให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการลดพื้นที่หลังบ้านและเพิ่มพื้นที่ขายให้มากขึ้น

ควบคู่กับการพัฒนาช่องทางออนไลน์ ที่ได้เริ่มลอนช์แอปพลิเคชั่น Big C Shopping Online โฉมใหม่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รวมทั้งเพิ่มบริการ Big C Fresh Express ดีลิเวอรี่อาหารสดกว่า 5,000 รายการ ที่เริ่มทดลองให้บริการในบริเวณพื้นที่กรุงเทพ ตลอดจนความร่วมมือกับช็อปปี้ (Shopee) เพื่อเพิ่มช่องทางเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น

Advertisment

“การนำบิ๊กซีออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้”

ครึ่งปีที่ผ่านมา บีเจซีมียอดขาย 72,784 ล้านบาท (รวมรายได้บิ๊กซี) เติบโตจากปีก่อน 31.8% โดยเป็นยอดขายจากกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่กว่า 70% ซึ่งช่วงเดือนกรกฎาคมเริ่มเห็นการฟื้นตัวของการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิม คาดว่าอารมณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคช่วงไตรมาสที่ 4 ที่เป็นช่วงเวลาจับจ่าย จะปรับตัวดีขึ้นหลังเดือนตุลาคมนี้

ขณะที่กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์เตรียมเปิดใช้งานเตาหลอมที่ 4 ของโรงงานที่สระบุรีอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้ ส่วนกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ทั้งมันฝรั่งเทสโต สบู่สมุนไพรแพรอท กระดาษทิสชูเซลล็อกซ์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด คาดว่าจะเป็นผลดีต่อการเติบโตของยอดขายตลอดทั้งปี