หลังจากเครื่องสำอางแบรนด์ NYX Professional Makeup ในเครือ “ลอรีอัล” ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจ ‘NYX Professional Makeup Thailand’ ว่า ช็อปนิกซ์ทุกสาขาจะปิดให้บริการ โดยจะให้บริการในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 นี้ เป็นวันสุดท้าย
พร้อมกันนี้ ได้ปรับช่องทางขายด้วยการขายผ่านออนไลน์เต็มตัว โดยจำหน่ายผ่านช่องทางอีมาร์เก็ตเพลส และอินสตาแกรม @nyxcosmetics
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“ประชาชาติธุรกิจ” พาสำรวจอาณาจักความงามในเครือ “ลอรีอัล ประเทศไทย” ว่าปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ความงามทั้งหมดกี่แบรนด์
ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ ลอรีอัล ไทยแลนด์ พบว่า ลอรีอัลฯ แบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
- กลุ่ม Consumer Products (คอนซูเมอร์ โปรดักส์) มีทั้งหมด 9 แบรนด์ ได้แก่
- L’oreal Paris
- Garnier
- Maybelline New York
- NYX Professional Make up
- Stylenanda
- Essie
- Niely
- Dark & Lovely
- Magic Mask
2. กลุ่ม L’Oreal Luxe (ลอรีอัล ลักซ์) มีทั้งหมด 16 แบรนด์ ได้แก่
- Lancome
- Yves Saint Laurent
- Armani
- Kiehl’s Since 1851
- Biotherm
- Urban Decay
- Shu Uemura
- IT Cosmetics
- Helena Rubinstein
- Ralph Lauren Fragrances
- Viktor&Rolf
- Cacharel
- Diesel
- Yue Sai
- Atelier Cologne
- Valentino
3. กลุ่ม Professional Products (โปรเฟสชั่นแนล โปรดักส์) มีทั้งหมด 5 แบรนด์
- L’Oreal Professionnel
- Redken
- Kerastase
- Matrix
- Pureology
4. กลุ่ม Active Cosmetics (แอคทีฟ คอสเมติกส์)
- La Roche-Posay
- Vichy
- Skin Ceuticals
- Cerave
- Decleor
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา “อินเนส คาลไดรา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ฉายภาพผลกระทบจากโควิด-19 ระบุว่า อุตสาหกรรมความงามในปีนี้ มีแนวโน้มว่าจะไม่เติบโต หรือ มีมูลค่า 2.18 แสนล้านบาท เท่ากับปี 2562 อาจเติบโตหรือหดตัวเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับความช้า-เร็วในการฟื้นตัวของผู้บริโภค
แผนการรับมือของลอรีอัลในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะโฟกัสแคทิกอรี่สกินแคร์ก่อน ตามด้วยเมกอัพในช่วงไตรมาส 4 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรองพื้นและดวงตา พร้อมกับการเพิ่มน้ำหนักการทำตลาดในช่องทางอีคอมเมิร์ซ และเทคโนโลยีเกี่ยวกับความงาม
ด้วยกลยุทธ์ “นิวอีเวิลด์” (new e-World) ที่ประกอบด้วย e-BA (e-Beauty Advisor) การเพิ่มสกิลและสนับสนุนให้บิวตี้แอดไวเซอร์หรือบีเอขายสินค้า-ให้คำแนะนำลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งออนไลน์ ไปจนถึงโทรศัพท์ เพื่อเพิ่มโอกาสขาย
e-Service สร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมอำนวยความสะดวก เช่น แอปโมดิเฟซ (ModiFace) สำหรับทดลองเมกอัพแบบเสมือนจริงผ่านกล้องหน้าของมือถือ ซึ่งตอบโจทย์ความปลอดภัยช่วงโควิด-19 ได้ โดยเตรียมเพิ่มสินค้าจากแบรนด์อื่น ๆ ในเครือเข้าไปจากปัจจุบันที่มี 11 แบรนด์
e-Commerce เดินหน้าเพิ่มช่องทางขายบนโลกออนไลน์ โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ Kerastase ซึ่งเป็นสินค้าสำหรับร้านทำผม บนแพลตฟอร์มลาซาด้าไปแล้ว ขณะเดียวกันยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์ของแบรนด์ต่าง ๆ ในเครืออีก 17 แบรนด์ และ e-Learning
“อย่างไรก็ตาม แม้จะโฟกัสช่องทางออนไลน์มากขึ้น แต่เราจะไม่ทิ้งช่องทางออฟไลน์เพราะเป็นหนึ่งในช่องทางที่สำคัญ แต่จะใช้การผสานช่องทางทั้ง 2 เข้าด้วยกับแบบออนไลน์+ออฟไลน์”