‘เนสท์เล่’ ลุยขยายกำลังผลิต ทุ่ม 4.5 พันล้านอัพเกรด 3 โรงงานไทย

“เนสท์เล่” เผยนิวนอร์มอลทำดีมานด์ตลาดเปลี่ยน ประกาศทุ่มงบฯ 4.5 พันล้าน สร้าง-ขยาย 3 โรงงาน “อาหารสัตว์-นม-ไอศกรีม” พร้อมอัพเกรดทีมงานอีคอมเมิร์ซรับดีมานด์ พร้อมเดินหน้านโยบายรักษ์โลกตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่

นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม ในปี 2564 และทิศทางของเนสท์เล่ ในประเทศไทยว่า การระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาทำให้ความต้องการสินค้าของผู้บริโภคไทยเปลี่ยนไป โดยต้องการอาหาร และขนมที่ดีต่อสุขภาพ-เสริมภูมิคุ้มกันในราคาคุ้มค่ามากขึ้น นอกจากนี้ในกลุ่มผู้บริโภคอายุน้อยยังให้น้ำหนักกับประเด็นสิ่งแวดล้อม อย่าง ชนิดบรรจุภัณฑ์ เมื่อเลือกซื้อสินค้ามากขึ้นอีกด้วย ขณะเดียวกันอาหารสัตว์เลี้ยงยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงโดดเด่นขึ้นมาในปีนี้

ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่ผู้บริโภคมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้นจึงสนใจความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงมากขึ้นตามไปด้วย โดยพบว่า หลายรายยอมตัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นแทนอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยม สอดคล้องกับข้อมูลของบริษัทวิจัยยูโรมอร์นิเตอร์ที่ระบุว่า ปี 2563 นี้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโต 9% จากปี 2562 นอกจากนี้ เมื่อรวมกับไลฟ์สไตล์อยู่บ้านมากขึ้นผลักดันให้สินค้ากลุ่มนิยมบริโภคในบ้าน อาทิ กาแฟ ซอสปรุงรส และนม มีดีมานด์สูงขึ้น โดยเฉพาะนมยูเอชที

ซึ่งบริษัทวิจัยนีลเส็นคาดว่า นมวัวและช็อกโกแล็ตมอลล์ยูเอชทีจะเติบโต 3% ใน 3 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับ ไอศกรีม ซึ่งผู้บริโภคนิยมทานเพื่อเป็นรางวัลให้กับตนเองในระหว่างวัน ในขณะที่กลุ่มที่นิยมบริโภคนอกบ้าน อย่าง น้ำดื่ม และขนมหวานดีมานด์ลดลง อีกทั้งผู้บริโภคยังหันมาซื้อสินค้าจากร้านเทรดิชั่นนอลหรือร้านโชห่วยมากกว่าร้านโมเดิร์นเทรดอีกด้วย

“แนวโน้มปี 2564 การฟื้นตัวของแต่ละกลุ่มสินค้าจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาดเป็นหลัก โดยกลุ่มสินค้าบริโภคในบ้านและอาหารสัตว์เลี้ยงจะยังมีดีมานด์ต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มนอกบ้านอาจต้องใช้เวลาประมาณ 18 เดือนจึงจะกลับสู่ภาวะปกติ”

ประธานกรรมการฯ เนสท์เล่ อินโดไชน่า ย้ำว่า เพื่อชิงความได้เปรียบจากเทรนด์เหล่านี้ บริษัทจึงทุ่มงบลงทุน 4,570 ล้านบาท ในช่วงปี 2563-2564 เพิ่มกำลังผลิตสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง นมยูเอชที และไอศกรีม ซึ่งเชื่อว่าจะมีดีมานด์สูงขึ้น รวมถึงเดินหน้าพัฒนาบรรจุภัณฑ์และกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้นให้สอดรับความความสนใจของผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยปี 2564 จะลงทุน 2,550 ล้านบาท สร้างโรงงงานอาหารสัตว์เลี้ยงแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ มีกำหนดเดินสายการผลิตกลางปี 2564 ต่อเนื่องจากปี 2563 นี้ที่ลงทุน 1,530 ล้านบาท

สำหรับสร้างโรงงานเครื่องดื่มยูเฮชทีแห่งใหม่ที่นิคมนวนคร 7 เสริมความแข็งแกร่งแบรนด์ไมโลและตราหมี โดยเริ่มการผลิตไปเมื่อเดือนพฤษภาคม และลงทุน 440 ล้านบาท ขยายไลน์การผลิตโรงงานผลิตไอศกรีมที่บางชันเมื่อเดือนตุลาคม รวมถึงลงทุน 50 ล้านบาท อัพเกรดอุปกรณ์ และอบรมเพิ่มประสิทธิภาพให้ทีมดูแลด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อรับเทรนด์ช็อปออนไลน์และดีลิเวอรี่ จนช่วยให้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตสูงกว่าเป้าถึง 2 เท่า

นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังวางเป้าลดการใช้หลอดพลาสติก 500 ล้านหลอด ในปี 2564 และเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของทุกสินค้าให้สามารถรีไซเคิลได้ภายในปี 2568 ซึ่งเชื่อว่าการลงทุนเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาการเติบโตได้ต่อเนื่อง หลังปี 2563 นี้การปรับพอร์ตสินค้าหันเน้นกลุ่มที่มีดีมานด์ และการเพิ่มสินค้ารุ่นราคาประหยัด เช่น ไมโลกล่อง 10 บาท ช่วยให้สามารถรักษาการเติบโตของรายได้ประมาณ 1 หลักกลาง ๆ ใกล้เคียงกับปีที่แล้วได้