ช่อง 3 ชู 3 คอนเทนต์หลัก ฟื้นกำไรปี 64 หลังโควิดกระทบขาดทุนหนักไตรมาส 2

สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์

ช่อง 3 ปรับทัพฝ่าวิกฤตขาดทุน ย้ำแนวคิด Single content multiple platform – 1 คอนเทนต์หลากช่องทาง ด้วยคีย์ซักเซสหลักคอนเทนต์คุณภาพ 3 กลุ่ม ละคร/ข่าว/วาไรตี้ พร้อมเดินหน้าลุยส่งละครขายลิขสิทธิ์ต่างประเทศ มั่นใจปี 2564 ฟื้นกำไรต่อเนื่อง

นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาคอนเทนต์ที่มีคุณภาพเข้ามาเป็นหัวใจหลักในการกระตุ้นฐานผู้ชมให้กลับมาอีกครั้ง ภายใต้แนวคิด Single content multiple platform ที่จะใช้ 1 คอนเทนต์ต่อการออกอากาศในหลากหลายช่องทาง ผ่านการร่วมมือกับผู้จัด และพาร์ทเนอร์ที่หลากหลายในการพัฒนาคอนเทนต์ที่มีคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ผู้ชมในแต่ละช่องทาง

ทั้งนี้จะโฟกัสใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ “ละคร” ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักอันดับ 1 ซึ่งจะมีความหลากหลายยิ่งขึ้น โดยจะเปิดตัวละครใหม่ 30-40 เรื่องต่อปี ด้าน “ข่าว” จะปรับเปลี่ยนรูปแบบผู้ประกาศ ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นทั้งในช่วงข่าวเช้า สาย บ่าย เที่ยง และเย็น ส่วน “วาไรตี้” จะต่อยอดความสำเร็จจากรายการเดิมที่มีฐานผู้ชมที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น ศึก 12 ราศี, 3 แซ่บ และตีท้ายครัว เป็นต้น ด้วยรูปแบบรายการใหม่ที่แปลกและแตกต่าง

“ต้องยอมรับว่าช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมรายการข่าวของทางช่องโดดเด่นลดลง แต่มองว่านั่นคือวัฎจักรของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหลังจากการปรับแผนงานใหม่ มั่นใจว่าจะสามารถสร้างปรากฏการณ์ได้อีกครั้ง”

นอกจากนี้ยังมีการโฟกัสไปยังกลุ่มธุรกิจ New Madia มากขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม 3Plus ที่จะเป็นตัวเชื่อมผู้ชมและคอนเทนต์ในช่องทางออนไลน์ให้ผู้ชมได้เลือกชมมากมาย ควบคู่กับการรุกเข้าไปยังธุรกิจขายลิขสิทธิ์ละครไปยังต่างประเทศ (global content licensing) มากขึ้น

หลังจากช่วงที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี อาทิ ละคร ร้อยเล่ห์มารยา ฯลฯ โดยจะมองหาโอกาสในการทำตลาดใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี จากปัจจุบันที่บริษัทมีตลาดหลักคือจีน และภูมิภาคอาเซียน ซึ่งรูปแบบการขายลิขสิทธิ์ละครจะเป็นทั้งออกอากาศสดพร้อมประเทศไทย และละครเก่า

“เราผ่านจุดต่ำสุดมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่บริษัทประสบภาวะขาดทุนจากปัจจัยลบต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ และการระบาดของโควิด-19 หลังจากไตรมาส 3 บริษัทก็เริ่มทำผลกำไรได้ ซึ่งแน่นอนว่าแนวโน้มของบริษัทนับจากนี้คาดการณ์ว่าจะสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564 จากการปรับแผนงานและยุทธ์ศาสตร์ในองค์กรด้านต่าง ๆ หากไม่มีปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจ การกลับมาระบาดของโควิด-19 และปัญหาด้านการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง”

อย่างไรก็ตาม แม้ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 3 จะสามารถทำกำไรได้ แต่ทว่าภาพรวมตลอดทั้งปีนี้จะยังคงติดลบอยู่

ส่วนในปี 2564 วางเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ตัวเลขสองหลัก (Double Digit) ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในกลุ่มธุรกิจนิวมีเดีย และธุรกิจขายลิขสิทธิ์ละครไปยังต่างประเทศ (global content licensing) ที่จะเพิ่มเป็น 25% จากสัดส่วน 20% ในปัจจุบัน ขณะที่กลุ่มรายได้หลักยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจทีวี 80%