“แอลจี” มั่นใจตลาดแอร์ฟื้น เพิ่มงบฯเท่าตัวเบียดเบอร์ 2

“แอลจี” มั่นใจตลาดแอร์ปีนี้โตแรง แตะ 2.4 หมื่นล้าน ทุ่มงบฯการตลาด 2 เท่า ลงเดิมพัน 130 ล้านบาท ปั้นไลน์อัพสินค้าใหม่พร้อมโปรแรงทั้งแถมประกันโควิด-19 ผ่อนยาว 24 เดือน โฟกัสกลุ่มเปลี่ยนแอร์-ตลาดกลางบน หวังทำยอด 2.2 พันล้านบาท ขยับส่วนแบ่งตลาดจาก 8% เป็น 11% เบียดเบอร์ 2

นายอำนาจ สิงห์จันทร์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มตลาดแอร์ปีนี้และทิศทางบริษัทว่า ขณะนี้ภาพรวมของตลาดมีแนวโน้มฟื้นตัวสูง โดยสิ้นปีนี้ตลาดอาจมีมูลค่าถึง 2.4 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปี 2562 ที่มีมูลค่า 23,242 ล้านบาท และปี 2563 ซึ่งมีมูลค่า 20,930 ล้านบาท เนื่องจากการเติบโตในเซ็กเมนต์กลางไปจนถึงบนซึ่งเป็นสินค้าราคาสูง โดยการได้ใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นในปีที่ผ่านมาทำให้ผู้บริโภคกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อต้องการอัพเกรดเครื่องใช้ไฟฟ้า เพิ่มฟังก์ชั่นสุขภาพและความสะดวก สะท้อนจากยอดขายสินค้าอื่น ๆ ของบริษัทที่ไปในทิศทางเดียวกันนี้

สำหรับกลุ่มแอร์นั้นจากการสำรวจผู้บริโภคพบว่าโจทย์หลักคือการกำจัดฝุ่น-เชื้อโรคในอากาศ และการลดความสกปรกที่สะสมในเครื่อง ประกอบกับปัจจุบันเป็นช่วงวงรอบที่ผู้บริโภคซื้อแอร์เมื่อช่วงปี 2549-2556 จะเริ่มเปลี่ยนแอร์เก่าอายุกว่า 10 ปี เป็นอินเวอร์เตอร์ โดยคาดว่าจะมีการเปลี่ยนประมาณ 5.6 แสนเครื่อง และทำให้สัดส่วนแอร์อินเวอร์เตอร์ในตลาดเพิ่มจาก 73% เป็นใกล้ 80%

“กลุ่มผู้ต้องการเปลี่ยนแอร์ใหม่นี้ถือเป็นเซ็กเมนต์ที่มีศักยภาพและต้องจับตา เพราะคนเหล่านี้มักลงทุนเลือกสินค้าระดับบนที่มีฟังก์ชั่นครบทั้งสุขภาพ ความสะดวก และประหยัดไฟ”

นายอำนาจกล่าวว่า อย่างไรก็ตามแนวโน้มนี้และการพลาดหน้าขายในปีที่แล้ว เพราะการระบาดของโควิด-19 รวมถึงการที่ผู้เล่นหน้าใหม่จากจีนเข้ามาเพิ่ม ทำให้การแข่งขันปีนี้ดุเดือด สะท้อนจากขณะนี้สามารถเห็นการทำโฆษณาและโปรโมชั่นหลากหลายรูปแบบจากหลายแบรนด์ โดยเฉพาะการผ่อนนานและการทำราคา รวมถึงการชูจุดขายด้านฟังก์ชั่นสุขภาพอย่างการฟอกอากาศ ฆ่าเชื้อ รวมถึงการสั่งงานผ่านไว-ไฟ

สำหรับการรับมือการแข่งขัน ผู้บริหารแอลจีอธิบายว่า ปีนี้บริษัทเพิ่มงบฯสำหรับทำตลาดแอร์ขึ้นเท่าตัว จาก 60 ล้านบาท เป็น 130 ล้านบาท หรือ 6% ของยอดขาย เพื่อชิงเม็ดเงินจากกระแสการเติบโตให้ได้อย่างน้อย 2.2 พันล้านบาท หรือ 1.4 แสนเครื่อง เติบโตจากปีก่อน 40% และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจาก 8% เป็น 11% เบียดใกล้ไดกิ้น เบอร์ 2 และมิตซูบิชิ เบอร์ 1 ที่มีส่วนแบ่ง 16% และ 19% ตามลำดับ

โดยเน้นการขายทั้งในหน้าร้อนที่เป็นไฮซีซั่นและนอกฤดูกาล เริ่มจากช่วงหน้าร้อนนี้เพิ่มไลน์อัพแอร์จาก 5 ซีรีส์ เป็น 7 ซีรีส์ ซึ่งมีความแตกต่างด้านฟังก์ชั่น ดีไซน์ และการประหยัดไฟ ขนาดตั้งแต่ 9,000-30,000 บีทียู มีไฮไลต์เป็นฟิลเตอร์ PM 2.5 ที่มีในทุกรุ่น ส่วนรุ่นท็อปจะมีฟังก์ชั่นกรอง PM 1.0 รวมถึงฆ่าเชื้อโรคและโควิด-19 ด้วยหลอดรังสียูวี ทั้งนี้เพื่อสร้างโพซิชั่นการเป็น “แอร์สุขภาพ” และตอบโจทย์ผู้บริโภคระดับกลาง-บนที่เป็นเป้าหมายหลักให้ทั่วถึงที่สุด ทั้งนี้ทยอยส่งสินค้าใหม่เข้าสู่ร้านค้าต่าง ๆ แล้วตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม

พร้อมเสริมด้วยการตลาด เช่น แถมประกันโควิด-19 ครอบคลุมทั้งการติดเชื้อและผลข้างเคียงจากวัคซีน วงเงิน 5 หมื่น-1 แสนบาท ตั้งแต่ 10 มีนาคม-30 เมษายน รวมถึงการผ่อน 0% นาน 24 เดือน ในบางรุ่นและบางช่องทางจำหน่าย เพื่อย้ำภาพลักษณ์และกระตุ้นการตัดสินใจของกลุ่มแมสให้ขยับขึ้นมาเป็นระดับกลาง เช่นเดียวกับการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการเน้นย้ำฟังก์ชั่นครบวงจรทั้งสุขภาพ สมาร์ท ประหยัด และดีไซน์ ผ่านสื่อครบวงการทั้งโฆษณาทีวีนาน 3 เดือน บิลบอร์ด อีเวนต์ ไปจนถึงอินฟลูเอ็นเซอร์

“แม้ผู้เล่นรายอื่นจะหันมาชูจุดขายด้านสุขภาพและฟังก์ชั่นไว-ไฟในปีนี้เหมือน ๆ กัน แต่เชื่อว่าประสบการณ์ของบริษัทที่เป็นผู้ริเริ่มจะช่วยสร้างความแตกต่างทั้งประสิทธิภาพและความเสถียรของระบบ”

ส่วนการทำตลาดช่วงนอกหน้าขายนั้นกำลังศึกษาการจัดครอสโปรโมชั่น หรือการส่งเสริมการขายร่วมกับสินค้าหมวดอื่น ๆ ในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทเอง เพื่อให้สามารถขายสินค้าทุกชนิดได้ตลอดทั้งปี ไม่จำกัดเฉพาะช่วงหน้าขายของหมวดนั้น ๆ โดยอาจสามารถเริ่มเห็นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้มั่นใจว่าไลน์อัพสินค้าใหม่และการทุ่มทำตลาดจะช่วยให้สามารถสร้างยอดขายได้ 2.2 พันล้านบาท และมีส่วนหนุนให้รายได้ในภาพรวมของบริษัทเติบโตในระดับเลข 2 หลักตามที่ตั้งเป้าไว้ได้