สธ. เปิดหลัก 3As ใช้จูงใจประชาชนยอมรับวัคซีนโควิด-19

วัคซีน

กรมสุขภาพจิต ส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิต ใช้หลัก 3As จูงใจประชาชนยอมรับวัคซีนโควิด-19 ลดการติดเชื้อเสี่ยงป่วยหนัก-เสียชีวิต

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีนโควิด-19 อย่างเพียงพอ พร้อมรับกับการเปิดประเทศและคลายล็อกดาวน์ โดยกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญที่ควรได้รับวัคซีน คือ กลุ่มเสี่ยง 608 ผู้สูงอายุ 60 ปี ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง ลดความเสี่ยงการเสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่ลังเล ไม่ยอมที่จะรับวัคซีน เรียกว่า Vaccine Hesitancy ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เป็น 1 ใน 10 ภัยคุกคามระดับโลกทางสาธารณสุข โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความลังเลในการรับวัคซีนมี 3 ข้อ คือ 1.ความไม่มั่นใจต่อวัคซีน ทั้งเรื่องคุณภาพ ผลข้างเคียง 2.ความชะล่าใจ เชื่อว่าวัคซีนไม่ได้ช่วยป้องกันโรค หรือไม่มีความจำเป็น และ 3.ความไม่สะดวก เช่น ช่องทางในการรับวัคซีนที่ยุ่งยาก

แพทย์หญิงอัมพรกล่าวต่อไปว่า แนวทางการจัดการเพื่อให้ประชาชนยอมรับวัคซีนในกลุ่มที่มีความลังเล ต้องใช้การสัมภาษณ์เพื่อสร้างแรงจูงใจโดยใช้หลัก 3As : Ask Affirm Advice ดังนี้

1. ถามเป็น ใช้คำถามปลายเปิดว่ารู้สึกกังวลหรือเป็นห่วงเรื่องอะไร

2. ชมเป็น นำคำตอบมาชื่นชม เช่น การเป็นห่วงสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่ดี

3. แนะเป็น ให้คำแนะนำตรงกับสิ่งที่เป็นห่วง เช่น กลัวอาการข้างเคียงรุนแรง ก็แนะว่า มีการดูแลหลังฉีดวัคซีน และผู้ได้รับวัคซีนส่วนใหญ่พบอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทั้งนี้ เมื่อความลังเลใจลดลงแล้ว ควรรีบให้วัคซีนโดยเร็วที่สุด แต่สำหรับกลุ่มที่มีการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ให้พยายามสอบถามและรับฟังข้อมูล จากนั้นอาจส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิตเข้าไปให้ความช่วยเหลือ

“กรมสุขภาพจิตมีความห่วงใยอยากให้ประชาชนได้รับวัคซีนโควิด-19 จึงได้เสนอต่อกระทรวงสาธารณสุขเร่งให้บริการวัคซีน เน้นกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับวัคซีนในพื้นที่ Sandbox เปิดประเทศ โดยให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือ สสจ. ค้นหากลุ่มเป้าหมายเพื่อดำเนินการ พร้อมกับส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิตร่วมดูแลใช้หลักการให้คำปรึกษา กลไกเชิงสังคม ร่วมกับ Vaccine เชิงรุก ให้ทุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323” แพทย์หญิงอัมพรกล่าว