“ไบโอซายน์” ลงทุนโรงงานวิจัยวัคซีน โกยรายได้โตแรง

LAB

ไบโอซายน์จ่อระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ฯ ไตรมาส 2 ปี’65 ต่อจิ๊กซอว์การเติบโต ดึงเงินลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มไลน์การผลิตสินค้ากลุ่มอาหารเสริมวิตามินสัตว์ ควบคู่ปั้นบิ๊กโปรเจ็กต์ร่วม สวทช. เดินหน้าวิจัยและผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ตีตลาดไทย-CLMV ย้ำแผนผู้นำไบโอเทค ตั้งเป้าปิดปี’64 โกยรายได้ 2 พันล้าน

นายสัตวแพทย์ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIS ผู้ผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายอาหาร ยา และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจอาหาร ยา และเวชภัณฑ์ สำหรับการปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง มีมูลค่าสูงถึง 3.3 หมื่นล้านบาท ด้วยประเทศไทยเป็น 1 ในผู้เล่นหลักของอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก เช่น ไก่ เนื้อไก่แปรรูป หมู เป็นต้น

โดยมีการคาดการณ์เฉพาะการส่งออกในปี’64 มีมูลค่าราว 1 ล้านล้านบาท หรือส่งออกปีละ 21 ตัน เติบโตปีละ 2-3% ขณะที่ช่วงโควิดดันเทรนด์รับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในกลุ่มผู้บริโภคพุ่งสูงราว 9-10% ประกอบกับภาครัฐส่งเสริมอุตสาหกรรมไบโอเทคเป็น new S-curve ใหม่ของประเทศ ส่งผลให้ไบโอซายน์ ผู้ดำเนินธุรกิจในซัพพลายเชนอาหาร ยา และเวชภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์ ตลอดจนสัตว์เลี้ยง ที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีไบโอเทคได้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตและมีศักยภาพ

โดยพอร์ตของบริษัทมีทั้งรูปแบบตัวแทนจำหน่ายและนำเข้าสินค้ากว่า 466 รายการ และสินค้าของตนเอง (own brand) ราว 10 รายการ แบ่งออกเป็นสินค้า 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์ยารักษาและป้องกันโรคสำหรับสัตว์ 2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ 3.ผลิตภัณฑ์เพื่อวินิจฉัยโรคสำหรับสัตว์ 4.ผลิตภัณฑ์อาหารเม็ดสำเร็จรูปสำหรับสัตว์ และ 5.ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารสัตว์

อย่างไรก็ดี ไบโอซายน์ได้ตัดสินใจเตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 2 ปี 2565 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและต่อยอดการเติบโต

โดยนำเงินมาลงทุนใน 2 ด้าน คือ การสร้างโรงงานผลิตเป็นของตนเอง จากเดิมต้องจับมือให้พาร์ตเนอร์เป็นผู้ผลิตสินค้าให้ ในเฟสแรกปีนี้ได้ลงทุนไปแล้วราว 60 ล้านบาท

ขณะที่เฟสต่อไปหลังได้รับเงินระดมทุนจะนำมาขยายไลน์การผลิต 2 สาย ที่ทำสัดส่วนรายได้มากที่สุด ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและวิตามินสำหรับสัตว์ ที่ถือเป็นกลุ่มที่ทำรายได้สูงสุดราว 800 ล้านบาท ในปี’64 เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมอาหารที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกในปีหน้า หลังโควิดเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งขณะนี้โรงงานดังกล่าวสามารถเดินการผลิตสินค้าได้ราว 5% จากยอดการผลิตทั้งหมดแล้ว

ส่วนอีกเรื่องที่ไบโอซายน์โฟกัสเพิ่มการลงทุนหลังระดมทุน คือ การเดินหน้าผลิตวัคซีนและจดสิทธิบัตรวัคซีนเป็นของตนเอง โดยได้จับมือกับ สวทช. ร่วมกันวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคระบาดในหมู ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2560 คาดว่าจะสำเร็จได้ราวปี 2566 หรืออีกราว 2 ปีข้างหน้า ก่อนจะขยายการวิจัยไปสู่สัตว์ประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ปีก และสัตว์น้ำ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นก้าวสำคัญในการลดพึ่งพาการนำเข้าวัคซีนสำหรับสัตว์จากต่างประเทศซึ่งมีราคาสูง และยังเป็นการเดินหน้าสู่ผู้นำไบโอเทคในประเทศไทย และหากโครงการดังกล่าวสำเร็จ ไบโอซายน์จะกลายเป็นเจ้าแรกในไทยที่วิจัยและผลิตวัคซีนเป็นของตนเองได้สำเร็จ และสร้างการเติบโตด้านรายได้จากการจำหน่ายวัคซีนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV

“ไบโอซายน์เริ่มต้นจากการเป็นตัวแทนจำหน่าย ก่อนจะมาเป็นผู้นำเข้ายาและเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ ปัจจุบันเราวางโพซิชั่นตนเองไปสู่ผู้วิจัยและผลิตวัคซีน จนสามารถขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งอุตสาหกรรมไบโอเทคไทย ส่วนการตั้งเป้ารายได้ในปี’64 คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ราว 2 พันล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนปีนี้อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท”