ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดของเยอรมนีมีคำพิพากษาสำคัญ ในคดีที่ส่อเค้าว่าจะเป็นเครื่องชี้ชะตา เครื่องยนต์ดีเซลและรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลในเยอรมนี
มีหลายคนวิเคราะห์ว่านี่คือ จุดเริ่มต้นไปสู่จุดจบน้ำมันดีเซล
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
คดีนี้กลุ่มล็อบบี้ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นโจทก์ เคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเยอรมนี ยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ห้ามรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเข้าสู่เขตเมือง
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดในเมืองไลป์ซิกมีคำพิพากษาอันเป็นที่สุด ว่าเป็นการใช้อำนาจโดยชอบตามกฎหมาย
คำพิพากษานี้ส่งผลกระทบต่อเจ้าของรถยนต์ดีเซลในเยอรมนีหลายล้านคัน และส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ เนื่องจากมีรถกว่า 45 ล้านคันในเยอรมนีใช้เครื่องยนต์ดีเซล
แต่อย่างไรก็ตามมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายบางคนชี้ว่า คำพิพากษาครั้งนี้ไม่ได้ห้ามในทันที การห้ามอาจจำกัดเฉพาะรถที่ใช้เครื่องยนต์ซึ่งผลิตก่อนปี 2015
แต่รถรุ่นใหม่ที่ได้มาตรฐาน “ยูโร 6” ของสหภาพยุโรป ยังสามารถใช้งานได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็บอกตรงกันว่า เครื่องยนต์ดีเซลมาตรฐานยูโร 6 อาจได้รับแรงกดดันหนักและต่อเนื่อง ทั้งจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจากทั้งสหภาพยุโรป
เพราะเครื่องยนต์ดีเซล คือตัวการก่อให้เกิดไนโตรเจนออกไซด์ในเยอรมนีมากกว่า 40% ของปริมาณไนโตรเจนออกไซด์ทั้งหมดของประเทศและไม่ควรลืมว่า อุตฯรถยนต์ในเยอรมนีมูลค่าเกือบ ๆ 500,000 ล้านยูโร ก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศร่วม 1 ล้านคน
ลองคิดดูว่าผลกระทบจะรุนแรงขนาดไหน สำหรับประเด็นที่ชวนคิดในเรื่องนี้ เหตุเกิดในเยอรมนีก็จริง แต่เรื่องนี้ก็น่าจะลามไปทั่วสหภาพยุโรป หากเมืองใหญ่ เช่น ปารีส, มาดริด และเอเธนส์ ต้องการ “แบน” เครื่องยนต์ดีเซลทั้งหมดภายในปี 2025 เครื่องยนต์ดีเซลจะต้องดิ้นไปทางไหน